เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณปราสาทตาเมือนธมล่าสุด ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์เหยียบกับระเบิดครั้งที่ 5 ในรอบ 1 เดือนของทหารไทย ได้จุดชนวนคำถามสำคัญที่ทิ่มแทงหัวใจของประชาชนคนไทยและประชาคมโลก ถึงความจริงใจของกัมพูชา และสะท้อนไปถึงนานาชาติในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศยังมีอยู่จริงหรือไม่?

อนุสัญญาออตตาวาปี 1997 ถือกำเนิดขึ้นด้วยความหวังอันแรงกล้าที่จะขจัด ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (APLs) สนธิสัญญานี้เป็นพันธะสัญญาที่ห้ามการใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิด พร้อมกำหนดให้ทำลายอาวุธที่มีอยู่และฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน

ไทยและกัมพูชา ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่เคยผ่านความขัดแย้ง ได้ร่วมลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญานี้ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามอดีตเพื่อสันติภาพ

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวยืนยันว่ากัมพูชายังคงมีทุ่นระเบิดจำนวนมากและได้ ลักลอบนำมาวาง ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งทำร้ายฝ่ายไทย แม้กัมพูชาจะเป็น ภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) และได้ให้สัตยาบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ก็ตาม การกระทำนี้ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาและ ข้อตกลงหยุดยิง ตามมติคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) กัมพูชา-ไทย อย่างชัดเจน โดยเฉพาะข้อ 9 ที่กำหนดให้งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอม

จากการตรวจสอบของฝ่ายไทย พบว่าทุ่นระเบิดที่ใช้ในเหตุการณ์ล่าสุดเป็นชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่กัมพูชาใช้ลักลอบติดตั้งเพื่อทำร้ายกำลังพลไทยมาโดยตลอด กองทัพบกปฏิเสธข้ออ้างของกัมพูชาที่ว่าพื้นที่ดังกล่าวมีวัตถุระเบิดตกค้างจากสงครามในอดีต เนื่องจากหลักฐานแสดงให้เห็นว่าบริเวณที่เกิดเหตุจะพบ ทุ่นระเบิด PMN-2 อีก 3–5 ลูก ในสภาพที่เพิ่งถูกติดตั้งใหม่ ซึ่งแตกต่างจากทุ่นระเบิดเก่าจากสงครามที่จะเป็นชนิดอื่น

จากข้อมูลข้างต้น ถือเป็นบทเรียนอันเจ็บปวดสำหรับฝ่ายไทย และไม่ว่าฝ่ายใด เมื่อเกิดปรากฏการณ์ “ไม่มีสัจจะในหมู่โจร”

เมื่อไม่มีสัจจะฉันใด จะหาความสุจริตไม่ได้ เมื่อขาดจริยธรรมข้อนี้แล้ว ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมมาสู่ประเทศนั้นๆ