สภาพของรัฐบาลที่นำโดย “พรรคเพื่อไทย” ยามนี้ต้องยอมรับว่า น่าเป็นห่วงยิ่งนัก เพราะไม่เพียงแต่จะต้องรับมือกับศึกรอบด้านเกือบสิบทิศ  ยังกลายเป็นว่า การดำรงสถานะ “พรรคแกนนำรัฐบาล” นั้นไม่เพียงแต่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายทางการเมืองเท่านั้น

แต่สงครามที่ยากจะยุติ กลับมาอยู่ที่โหมดของ “นิติสงคราม” โดยเฉพาะการที่มีทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯอย่างเป็นทางการ  ด้วยเหตุที่เป็น “หัวใจหลัก” ของพรรคเพื่อไทย แต่กลับมี “คดีความ” พันอยู่กับตัวเอง

จากเดิมที่หลายฝ่ายจับตาว่า วันที่ 29 ส.ค.68 นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะชี้ชะตา มีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร แต่ทว่า ตลอดหลายวันที่ผ่านมา จุดโฟกัสความร้อนแรงทางการเมืองใหม่ได้ไปอยู่ที่ว่า นายกฯแพทองธาร จะไปศาลรัฐธรรมนูญ ในนัดไต่สวนคดีคลิปเสียง ด้วยตนเองหรือไม่ วันที่ 21 ส.ค.นี้

เพราะการที่นายกฯอิ๊งค์ ในฐานะผู้ถูกร้อง ตัดสินใจที่จะไปชี้แจงในนัดไต่สวนด้วยตนเอง ย่อมเป็นทั้งโอกาส และการแสดงความเชื่อมั่นต่อ พรรคเพื่อไทยไปจนถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยกัน

เวลานี้การสร้างความเชื่อมั่น ต่อพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง ยังไม่สำคัญเท่ากับ การทำให้ “พรรคร่วมรัฐบาล” ยังมั่นใจได้ว่า ลมการเมืองจะยังคงไม่เปลี่ยนทิศ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาเป็น “บวก” หรือ “ลบ” ต่อนายกฯอิ๊งค์ ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ก็ตาม

บรรยากาศสำหรับพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล อาจไม่เอื้อต่อการขยับมากนัก เพราะอยู่ในจุดเปราะบาง  และล่อแหลมไม่น้อย

เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่เกิด “ข่าวลือ” ที่ชวนเขย่าขวัญ ด้วยการชง “สูตรใหม่” ว่าด้วยข่าวสะพัดต่อเนื่อง ว่า “พรรคเพื่อไทย” อาจจะยอมกลืนเลือด จับมือกับ “พรรคภูมิใจไทย” และร่วมกัน ชู “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกฯคนที่ 29 ให้กลับมาเป็น “นายกฯ” อีกรอบ !

แน่นอนว่าสูตรการเมือง เฉพาะกิจเช่นนี้ อาจนำมาซึ่งการเปิด “สมการใหม่” มีการจับมือกันรอบใหม่ หาก “ข่าวลือ” กลายเป็น “เรื่องจริง” แต่อย่าลืมว่า หากมีการใช้สูตร “แดง” จับมือ “น้ำเงิน” ย่อมหมายความว่า สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย อาจจะอยู่ในสภาพที่ “ถอยร่น” ขณะที่ พรรคภูมิใจไทยอาจเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ พลิกกลับมา “ขี่” พรรคเพื่อไทย เมื่อทั้งคู่ต่างเป็นคู่ปรับ ที่พร้อมจะขับเคี่ยว ฟาดฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่ง !