แกนนำระดับ “หัวแถว” ของ “พรรคเพื่อไทย” ต่างพากัน ให้ความมั่นใจต่อสถานการณ์ทางการเมือง จะไม่เดินไปถึงขั้นสุ่มเสี่ยง หรือจนกระดาน จากกรณีที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดฟังคำวินิจฉัย ชี้ชะตา “นายกฯอิ๊งค์” ว่าจะอยู่หรือไป ในวันที่ 29 ส.ค.68นี้ ก็ตาม

แต่ถึงกระนั้น ท่าทีและความพยายามสร้างความเชื่อมั่นจากฝั่ง “พรรคเพื่อไทย” กำลังกลายเป็นเหมือนการออกแรงต้าน พายุใหญ่ทางการเมืองที่รออยู่ข้างหน้า

29 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังวินิจฉัย คำร้องที่ “36 สว.” ขอให้พิจารณาถอดถอน “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีพฤติการณ์ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กรณีสนทนากับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา สืบเรื่องจากปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

การคาดหมายถึง ทิศทางและแนวโน้ม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.นั้นเป็นได้ทั้ง “บวก” และ “ลบ” ต่อนายกฯแพทองธาร โดยตรง

ขณะเดียวกันผลจากคำวินิจฉัย คดีคลิปเสียงนี่เอง ยังจะสร้าง “ผลกระทบ” ที่ลุกลามบานปลายมาถึง “พรรคเพื่อไทย” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เพราะเมื่อ นายกฯแพทองธาร เป็นเหมือน “หัวใจ” ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งในปี 2566 ในฐานะทั้ง “ลูกสาว” เจ้าของพรรค อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ จนเธอเองพาสชั้นขึ้นสู่เก้าอี้ “นายกฯคนที่ 31” ความเชื่อมโยงระหว่าง “ชินวัตร” กับ “พรรคเพื่อไทย” คืออันหนึ่งอันเดียวกัน มาโดยตลอด

“ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกฯ ย้ำว่า ณ เวลานี้พรรคเพื่อไทย ไม่ระส่ำ และไม่จำเป็นต้องมีแผนสำรองใด ๆ และเหนืออื่นใด ยังมั่นใจใน “เจตนาดี” ของนายกฯอิ๊งค์ ในการพูดคุยกับสมเด็จ ฮุน เซน

“นายกฯ ได้มีการพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพตลอดเวลาว่า ได้มีการพูดคุยอะไรกับฮุนเซนบ้าง เพราะฉะนั้นความจริงใจและความตั้งใจเป็นเรื่องที่สำคัญ

และหากพิจารณาในสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อประเทศกัมพูชาเลย เรายังถือว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่รุกรานเรา” ( 14 ส.ค.68)

แม้ที่ผ่านมา ทั้ง ทักษิณ และนายกฯอิ๊งค์ คือ จุดแข็งและจุดขายสำหรับพรรคเพื่อไทย จากวันเลือกตั้งเมื่อปี 2566 จนมาถึงวันนี้ ที่ได้ทำหน้าที่พรรคแกนนำรัฐบาล แต่เมื่อเวลานี้ ทั้ง “พ่อ-ลูก” ต่างกำลังติดบ่วงคดีสำคัญ มีหรือที่พรรคเพื่อไทย จะไม่ระส่ำ และเต็มไปด้วยแรงกระเพื่อม!