ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ แรงกดดันจากนโยบายการค้าต่างประเทศที่เข้มงวด ปัญหาการเมืองภายในที่ยังคงยืดเยื้อ รวมถึงความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวเลขล่าสุดของดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพความกังวลและอุปสรรคที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลจะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร

โดยนายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนกรกฎาคม 2568 ร่วงสู่ระดับ 45.9 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 31 เดือน จากระดับ 46.7 ในเดือนมิถุนายน 2568 สะท้อนความกังวลของภาคเอกชนจากปัจจัยลบรอบด้าน

สถานการณ์นี้ลุกลามไปยังทุกภูมิภาค โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีค่าดัชนีต่ำสุดที่ 44.2 และ 44.5 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจในพื้นที่ต่างจังหวัดเผชิญความท้าทายอย่างหนักหน่วง แม้แต่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ ก็ไม่รอดพ้นจากภาวะซบเซา

ปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่นคือ นโยบาย “Trump 2.0” ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงถึง 36% ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 68 สร้างความกังวลต่อภาคส่งออกไทยอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมือง จากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทวีความรุนแรง เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง กำลังซื้ออ่อนแอ ราคาพืชผลเกษตรหลักตกต่ำ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ต้นทุนผู้ประกอบการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรง และความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยืดเยื้อ ล้วนเป็นแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา

แม้จะมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วยพยุงบ้าง เช่น สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 68 เป็น 2.2% มาตรการ "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" การส่งออกเดือน มิ.ย. 68 ขยายตัวดี SET Index ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันขายปลีกลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้

ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะ การเจรจาต่อรองภาษีกับสหรัฐฯ และมาตรการรับมือผลกระทบ การบริหารจัดการสถานการณ์ชายแดน อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท และ การสนับสนุน SMEs เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

เราเห็นว่าทุกภาคส่วนจำเป็นต้องช่วยกันคิด และดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเป็นเอกภาพทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อข้ามพิ้นวิกฤติความท้าทาย ไม่ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังลงเหว