กลายเป็นชนวนทางการเมือง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติชี้ขาดให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาฯ พ้นสภาพ ส.ส. และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี ด้วยความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ซึ่งว่าด้วยการห้าม ส.ส., ส.ว., หรือกรรมาธิการ (กมธ.) เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม การตัดสินครั้งนี้ไม่เพียงแค่ส่งผลต่ออนาคตของนักการเมืองรายบุคคล แต่ยังสร้าง “บรรทัดฐานใหม่” การเมืองไทย
มาตรา 144 ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยมีเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่จะป้องกันการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะการแปรญัตติงบประมาณที่อาจเอื้อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง รายละเอียดที่เคร่งครัดตั้งแต่การห้ามเสนอญัตติ การแปรญัตติ หรือแม้แต่การกระทำใดๆ ที่มีผลให้ได้รับประโยชน์จากการใช้งบประมาณโดยตรงหรืออ้อม พร้อมบทลงโทษทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม ปิดประตูการแสวงหาประโยชน์จากเงินภาษีประชาชน
กรณีของนายพิเชษฐ์ถือเป็นบทเรียนราคาแพง ด้วยเขาถูกวินิจฉัยว่ามีส่วนร่วมในการเสนอแปรญัตติเพิ่มงบในโครงการต่างๆ และมีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมในโครงการเหล่านั้น โดยเฉพาะการมุ่งเน้นในเขตเลือกตั้งของตนเอง ศาลรัฐธรรมนูญมองว่าการลงลายมือชื่อในเอกสารราชการ แม้จะไม่ได้เขียนข้อความเห็นชอบด้วยตนเอง ก็ถือเป็นการแสดงเจตนา และยิ่งไปกว่านั้น การเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ย่อมต้องตระหนักถึง “ความรับผิดชอบ” ในตำแหน่งทางการเมือง และการ "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" อาจไม่ใช่ข้ออ้างที่ยอมรับได้
ผลสะเทือนจากคำวินิจฉัยนี้ไม่ใช่ได้จำกัดอยู่แค่ในรั้วสภาฯ แต่แผ่ขยายไปสู่การจัดทำงบประมาณของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเริ่มมีการตรวจสอบการเทงบประมาณลงพื้นที่ของ ส.ส. พรรครัฐบาลหลายพรรคอย่างใกล้ชิด ยิ่งไปกว่านั้น คดีนี้ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับกรณีร้อนที่ ครม.แพทองธาร 1/1 ถูกกล่าวหาว่าอาจฝ่าฝืนมาตรา 144 จากการโยกงบชำระหนี้ 35,000 ล้านบาท ไปไว้ในงบกลางเพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
คำถามที่ดังขึ้นคือ “บรรทัดฐานพิเชษฐ์” จะกลายเป็นเครื่องมือ “รีเซ็ตการเมือง” หรือไม่? หากการตีความมาตรา 144 ยังคงเข้มข้นเช่นนี้ และหากคดีของ ครม.แพทองธารถูกวินิจฉัยในทิศทางเดียวกัน ส.ส.และ ส.ว. จำนวนมากอาจต้องเผชิญชะตากรรมคล้ายนายพิเชษฐ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจครั้งใหญ่
ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลปัจจุบันกำลังเผชิญศึกรอบด้าน ทั้งศึกในและศึกนอก การเดินหมากของ "ตระกูลชินวัตร" และรัฐบาลหลังจากนี้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะมาตรา 144 อาจกลายเป็น "ไพ่ตาย" ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยไปตลอดกาล