รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมกับประกาศตัวเองว่าเป็น "ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ" เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ และยังเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นแรงกดดันเพื่อบังคับให้เกิดการหยุดยิงในยุคปัจจุบัน

สิ่งที่น่าสนใจในกรณีไทยกัมพูชา คือ การที่ทรัมป์ใช้ภาษีนำเข้า 36% เป็นเครื่องมือกดดันโดยตรง โดยส่งสัญญาณชัดเจนว่า "ผมไม่ต้องการค้าขายกับใครที่กำลังฆ่าฟันกัน" การเชื่อมโยงระหว่างการหยุดยิงกับผลประโยชน์ทางการค้า (ภาษี) อย่างชัดเจนนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ แต่การนำมาใช้อย่างเปิดเผยและเป็นนโยบายหลักถือเป็นการพัฒนาที่น่าจับตามอง

แนวคิดเรื่องการหยุดยิงมีมาหลายศตวรรษ แต่ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างประเทศสมัยใหม่ที่มีนัยสำคัญ ได้แก่ ข้อตกลงสงบศึกปี 1949 ระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ อียิปต์ เลบานอน จอร์แดน และซีเรีย ข้อตกลงเหล่านี้จบสงครามอาหรับ-อิสราเอลปี 1948 และกำหนดเส้นแบ่งการหยุดยิงภายใต้การกำกับของสหประชาชาติ อีกตัวอย่างสำคัญคือ ข้อตกลงคาราจี ปี 1949 ระหว่างอินเดียและปากีสถาน ที่กำหนดเส้นหยุดยิงในแคว้นจัมมูและแคชเมียรหลังความขัดแย้งปี 1947 แต่ในประวัติศาสตร์ยุคก่อนหน้านี้ มีการหยุดยิงแบบไม่เป็นทางการที่น่าสนใจ เช่น การหยุดยิงที่เกิดขึ้นเองในวันคริสต์มาส 1914 ระหว่างทหารอังกฤษและเยอรมันบนแนวรบตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ทำเป็นสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ

ข้อตกลงหยุดยิงในอดีตจะเกิดขึ้นได้จากการเจรจาทางการทูตหรือการไกล่เกลี่ยจากองค์กรระหว่างประเทศ กรณีศึกษาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น การใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และสหประชาชาติกับยูโกสลาเวียระหว่างปี 1992-1995 เพื่อกดดันให้เซอร์เบียหยุดสนับสนุนสงครามในบอสเนีย หรือการคว่ำบาตรเพชรและไม้ของสหประชาชาติที่มีส่วนทำให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงในเซียร์ราลีโอน (2000) และไลบีเรีย (2003) และกรณีของเฮติในปี 1994 ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อการคว่ำบาตรทางการค้าที่นำโดยสหรัฐฯ สร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจให้กับชนชั้นนำของเฮติ ทำให้การสนับสนุนทางทหารต่อรัฐบาลเผด็จการลดลง และนำไปสู่การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ สำหรับตัวอย่างล่าสุดก่อนหน้านี้ คือ กรณีอินเดีย-ปากีสถานในปี 2568 ที่ทรัมป์อ้างว่าได้ใช้การเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เป็นแรงจูงใจให้ทั้งสองประเทศยอมหยุดยิง แม้ว่าฝ่ายอินเดียจะโต้แย้งเรื่องบทบาทของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้

สิ่งที่ทรัมป์ทำเพิ่มเติม คือ การใช้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือหลัก โดยเฉพาะการลดภาษีเป็นรางวัลสำหรับการปฏิบัติตามข้อตกลง กรณีทรัมป์นับเป็นการพัฒนาจากการใช้มาตรการภาษี (เศรษฐกิจ) ลงโทษไปสู่การใช้ผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจ ทั้งนี้ข้อตกลงหยุดยิงที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ ได้แก่ ความชัดเจนในเงื่อนไข การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย การติดตามและตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม รวมถึงมาตรการสร้างความเชื่อมั่น

แม้ว่าการใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจจะมีประสิทธิภาพในการหยุดยิงระยะสั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองและสังคมที่ลึกซึ้งได้ นอกจากนี้ยังอาจสร้างความรู้สึกว่าถูกบีบบังคับ เนื่องจากไม่ได้มาจากความต้องการของทั้งสองฝ่ายโดยตรงซึ่งอาจทำให้การสร้างสันติภาพในระยะยาวซับซ้อนมากขึ้น ความสำเร็จของวิธีการแบบทรัมป์นี้ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอและการมีภัยคุกคามหรือรางวัลที่น่าเชื่อถือ ความต่อเนื่องของนโยบายจะทำให้ประสิทธิภาพของวิธีการนี้ดีขึ้น

วิธีการของทรัมป์อาจเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การเชื่อมโยงระหว่างสันติภาพกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนอาจกลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการทูต อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องประสานร่วมกันกับความพยายามทางการทูตที่กว้างขึ้นเพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืน

การหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาภายใต้แรงกดดันจากทรัมป์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทูตสมัยใหม่ การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นแรงกดดันโดยตรงเพื่อบังคับให้เกิดการหยุดยิง แม้จะไม่ใช่วิธีการใหม่ แต่การนำมาใช้อย่างชัดเจนและเป็นนโยบายหลักนั้นแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่สำคัญในศาสตร์การทูต

ความสำเร็จในระยะสั้นของวิธีการนี้อาจทำให้กลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต แต่ประสิทธิภาพในระยะยาวยังคงต้องพิสูจน์ต่อไป การสร้างสันติภาพที่แท้จริงต้องอาศัยมากกว่าแค่แรงกดดันทางเศรษฐกิจ ต้องใช้ความพยายามทางการทูตอย่างครอบคลุมและการแก้ไขปัญหาระดับรากเหง้า สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือ ยุคของการหยุดยิงด้วยแรงกดดันทางเศรษฐกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว และจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต

สำหรับประชาชนไทย คงต้องติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด เพื่อจับตาว่าวิธีการแบบใหม่ของทรัมป์จะมีประสิทธิผลในระยะยาวมากน้อยเพียงใด และจะส่งผลต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอย่างไร การเฝ้าระวังและประเมินผลกระทบทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะช่วยให้ไทยพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลกการทูตยุคใหม่ครับ