ความสัมพันธ์ระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และ สมเด็จฮุนเซน กัมพูชา แน่นแฟ้นมานานกว่า 30 ปี โดยเฉพาะช่วงที่นายทักษิณหลบหนีคดีอยู่ต่างแดนนานกว่า 17 ปี และเมื่อกลับมารับโทษในประเทศไทย เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำสายสัมพันธ์คือ 21 กุมภาพันธ์ 2567 สมเด็จฮุนเซนเดินทางเยือนไทยและเข้าพบนายทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ขณะนายทักษิณป่วยและพักฟื้นจากการรักษาตัว
กระทั่งเมื่อรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร บริหารประเทศ เกิดความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา 28 พฤษภาคม 2568 เกิดการยิงปะทะ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตบริเวณชายแดน หลังมีการขุดคูน้ำล้ำเข้าเขตอธิปไตยของไทย
ต่อมา คลิปเสียงการหารือระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รั่วไหล โดยฮุนเซนยอมรับว่าเป็นผู้ส่งต่อคลิปดังกล่าวเอง นำไปสู่แรงสั่นสะเทือนในรัฐบาลแพทองธาร จนกระทั่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่และอยู่ระหว่างการพิจาณาถอดถอนออกจากตำแหน่ง
27 มิถุนายน 2568 ความสัมพันธ์ถึงจุดแตกหัก เมื่อสมเด็จฮุนเซนออกมากล่าวหานายทักษิณว่า “แกล้งป่วย” และมีส่วนช่วยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหลบหนี ท่าทีดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญญาณต้องการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลไทย
9 กรกฎาคม 2568 นายทักษิณออกมาเปิดใจ ยอมรับว่าช็อกและเจ็บใจต่อท่าทีของสมเด็จฮุนเซน
15 กรกฎาคม 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาก้าวสู่จุดอ่อนไหว มีการเผชิญหน้าระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย รายงานระบุว่ามีการวางระเบิดจากฝั่งกัมพูชา ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ
23 กรกฎาคม เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดซ้ำ ทำให้กองทัพภาคที่ 2 ตอบโต้ด้วยการปิดด่าน ความตึงเครียดพุ่งสู่ความขัดแย้งเต็มรูปแบบ
24 กรกฎาคม 2568 การสู้รบครั้งใหญ่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงด้วยจรวดและปืนใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนไทย
นายทักษิณโพสต์ผ่าน X ชี้ว่าสมเด็จฮุนเซนเป็นผู้บัญชาการรบด้วยตนเอง พร้อมเผยว่ามีหลายประเทศเสนอตัวไกล่เกลี่ย แต่ขอเวลาปล่อยให้ทหารไทย “สั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของสมเด็จฮุนเซน”
จึงไม่แปลกที่มีคำกล่าวว่า สงครามครั้งนี้ระหว่างไทย–กัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างสองรัฐ หากแต่เป็นการต่อสู้ระหว่างสองตระกูลการเมือง คือ “ตระกูลชินวัตร” และ “ตระกูลฮุน”
แม้สงครามครั้งนี้จะมีความซับซ้อนและหลากมิติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามิติส่วนตัวและผลประโยชน์ทางการเมืองคือปัจจัยสำคัญที่จุดชนวนวิกฤตครั้งนี้
ที่ไม่อาจเพ่งมองที่ด้านใดด้านหนึ่ง