ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิต
คณะการทูตการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
ก่อนจะเริ่มบทความในวันนี้ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียของพี่น้องทหารและประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์ทุกคน และขอส่งกำลังใจให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมขอประณามอย่างที่สุดต่อการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์และการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศในทุกกรณี
เมื่อพูดถึงสงครามทั้งในอดีตและปัจจุบัน แน่นอนว่าสิ่งที่เรานึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกคือการปะทะกันด้วยอาวุธและกำลังพล แต่จริงๆแล้วสงครามไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของความจริง ความเชื่อ และการรับรู้ทั้งของประชาชนและสังคมโลกอีกด้วย
“สื่อ” จึงการเป็นหนึ่งในกลไกที่ทรงพลังที่สุดในการสงครามนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะสื่อในยามสงครามไม่ได้มีบทบาทอยู่ที่แค่การรายงานข่าวเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่การสร้างความชอบธรรม การปลุกระดม การรักษาขวัญและกำลังใจ รวมไปจนถึงการยับยั้งความรุนแรงหรือแม้แต่การยุติสงครามด้วยเช่นกัน
ในประวัติศาสตร์การสงคราม หลายครั้งที่สื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักของรัฐในการสร้างความชอบธรรมให้แก่การทำสงคราม ทั้งความชอบธรรมในการ “เริ่ม” สงคราม รวมถึงความชอบธรรมในการ “ต่อสู้” ซึ่งการสร้างความชอบธรรมนั้นมีทั้งแบบที่สร้างความชอบธรรมกับประชาชนของตนเอง และแบบที่แสวงหาความชอบธรรมจากประชาคมโลก
ยกตัวอย่างเช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สื่อของนาซีเยอรมันได้ใช้โฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของ “ศัตรู” และปลุกระดมให้คนในชาติเชื่อร่วมกันว่า การทำสงครามนั้นคือหน้าที่อันชอบธรรม หรือในยุคปัจจุบัน ที่แม้โครงสร้างสื่อจะเปิดกว้างมากขึ้นแต่ในยามสงคราม รัฐหรือกลุ่มการเมืองต่างๆก็ยังคงใช้สื่อในการเผยแพร่ “ความจริงแบบเลือกข้าง” เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ เช่น การเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า “ผู้ก่อการร้าย” เพื่อเป็นการ Framing มุมมองของคนที่รับสาร ซึ่งจะมีผลอย่างยิ่งต่อท่าทีของประชาชนและประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถูกดำเนินการโดยผู้มีอำนาจ
นอกจากนี้ สื่อยังมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของประชาชน ผ่าน “สิ่งที่เลือกนำเสนอ” และ “สิ่งที่เลือกไม่นำเสนอ” เช่น ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน สื่อแต่ละประเทศมีการเสนอเนื้อหาที่ต่างกันอย่างมาก การเลือกภาพ เสียง เนื้อหา ล้วนมีผลต่อกรอบความเข้าใจและความรู้สึกของสังคมทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลจำนวนมากสามารถแพร่กระจายได้ในเวลาอันสั้น ในมุมนี้ สื่อสามารถเป็นเสมือนน้ำมันที่ราดบนกองไฟให้ลุกโหมขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ในทางตรงข้าม สื่อในยามสงครามก็ยังมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในยามสงครามด้วยเช่นกัน เช่น การรายงานการโจมตีพลเรือน หรือการใช้เด็กในการสงคราม ในมุมนี้เป็นบทบาทของสื่อในการ “ทำให้คนเห็นในสิ่งที่ควรถูกเห็น” และเป็นกลไกสำคัญที่กดดันในเกิดการแก้ปัญหาในยามสงคราม และกดดันให้เกิดการตื่นตัวในระดับนานาชาติ รวมถึงการตรวจสอบของประชาคมโลก ซึ่งหลายครั้ง นำไปสู่การยับยั้งความรุนแรงและการยุติสงครามได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน สื่อหนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งด้านแรงกกดดันในการทำงาน กฎระเบียบที่มากขึ้น รวมไปจนถึงอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่พร้อมจะปะทุต่อการทำงานของสื่อได้ทุกเมื่อ สื่อโซเชียลก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นความท้าทายให้แก่สื่อหลักด้วยความที่เส้นแบ่งระหว่าง “ผู้เสพข่าว” กับ “ผู้ผลิตข่าว” เลือนรางลงไปทุกวัน การตัดสินจากสังคมว่าสื่อใดเชื่อได้ สื่อใดเชื่อไม่ได้ กลายเป็นความท้าทายต่อการทำงานอย่างมาก รวมไปจนถึงการที่ข้อมูลข่าวสารสามารถกระจายไปได้อย่างรวดเร็ว
จากกรณีข้อพิพาทตามแนวชายแดนของไทยและกัมพูชา ได้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างความท้าทายของสื่อในยามสงครามอย่างชัดเจน เช่น การพยายามรายงานข่าวของสื่อที่อาจมีความตั้งใจเพียงแค่เผยแพร่ความจริงที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น แต่กลับกลายเป็นส่งผลต่อการปฏิบัติการทางทหารได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งในแง่ของการเปิดเผยกำลังรบ เปิดเผยที่ตั้ง หรือเปิดเผยการทำงานของกองทัพ จนต้องออกมาขอความร่วมมือกันยกใหญ่ รวมไปจนถึงบทบาทของสื่อโซเชียลที่มากขึ้นจน “น่ากลัว” ในบางมุม เช่นการมุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวกัมพูชาในประเทศไทย ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นด้วยประการทั้งปวง
สรุปได้ว่า ในยามสงคราม สื่อเป็นได้ทั้ง “อาวุธ” และ “โล่” ขึ้นอยู่กับว่าใครใช้และใช้เพื่ออะไร สื่อสามารถใช้ได้ทั้งการสื่อสารความจริงและการสื่อสารทางยุทธศาสตร์ สามารถทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการทหาร และแน่นอน สื่อสามารถจุดไฟหรือดับไฟได้ เช่นกัน ดังนั้น การทำงานของสื่อในยามสงครามจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพูดคุยกันทั้งในระดับของสื่อ รวมถึงการบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อการทำงานร่วมกันในระดับยุทธศาสตร์
และที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ต้องไม่หลงลืมมิติด้านมนุษยธรรม ท่ามกลางอารมณ์ที่ร้อนแรงของสังคมและสื่อโซเชียลที่ควบคุมได้ยาก สื่อหลักจะยังคงมีความสำคัญในฐานะความหวัง ที่จะปรับอุณหภูมิของสังคมให้ขึ้นหรือลง รวมถึงยังจำเป็นที่จะต้องมีบทบาทในการรักษาไว้ซึ่งหลักการมนุษยธรรม
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคน...เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันครับ