เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชา ตลอด 5 วันที่ผ่านมา สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อ ฝั่งกัมพูชา เมื่อกองทัพไทยเปิดปฏิบัติการตอบโต้ ด้วยยุทธการยุทธบดินทร์ หลังจากที่กองทัพกัมพูชา เป็นฝ่าย “ยิงก่อน”

จากฉากแรกที่เขมรยิงฝ่ายก่อน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 เวลา 08.20 น. ใกล้บริเวณปราสาทตาเมือนธม จากนั้นระดมยิงเข้าใส่บ้านเรือนพลเรือน และโรงพยาบาล ด้วยลูกระเบิด BM-21 ส่งผลทำให้ประชาชนใน4จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาต้องเร่งอพยพ จนถึง ณ เวลานี้จำนวนมากกว่า 1 แสนคน ยังไม่นับความสูญเสียที่ประชาชน เสียชีวิตได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนเสียหาย และกองทัพไทยต้องสูญเสีย ทหารกล้าในสมรภูมิรบ ในช่วง 5 วัน ไปด้วยกันทั้งสิ้น 6 นาย

มีรายงาน สรุปภารกิจเหตุปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 24 -28 ก.ค.68 โดยกองทัพบก ระบุว่า ทหารไทยสามารถยึดพื้นที่ได้ 5 จุดได้แก่ บริเวณช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ ,พื้นที่เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ,ปราสาทโดนตวล จังหวัดศรีสะเกษ ,พื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี และช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี

“ศึกนอก”  ที่ประชิดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มีความชัดเจนว่า ประชาชนมีความมั่นใจ และเชื่อใจ “กองทัพ” ทั้งในด้านศักยภาพ และการรักษาอธิปไตยของไทย ทุกความช่วยเหลือจาก “แนวหลัง” รวมพลังส่งไปถึง “แนวหน้า”  ทั้งข้าวของ เครื่องใช้ รวมถึงการบริจาคเลือดเพื่อสำรองเอาไว้ให้ทหารและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ

แต่ปรากฏว่า “ศึกใน” ที่รัฐบาล ซึ่งนำโดย พรรคเพื่อไทย และ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม โดยเฉพาะ “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อของนายกฯอิ๊งค์ ซึ่งเป็น “อดีตเพื่อนรัก” กับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา  กลับอยู่ในสถานการณ์ที่เผชิญหน้ากับ “แรงกดดัน” อย่างหนักหน่วง

ไม่เว้นแม้แต่การที่ทักษิณ ลงพื้นที่ไปเยี่ยมศูนย์พักพิง ที่จ.อุบลราชธานี กลับถูกชาวบ้านตะโกนต่อว่า ตั้งคำถามว่าทำไมปล่อยให้เพื่อนรักมายิง คนไทย  ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของนายกฯแพทองธาร ทั้งการแถลงข่าวยืนยันว่า การปะทะกันครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับ 2 ครอบครัว มีความขัดแย้ง แต่เกิดจากการที่รัฐบาลไทยลุยปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งอาจกระทบกับธุรกิจสีเทาในกัมพูชาเอง

ล่าสุดดูเหมือนว่า กัมพูชาน่าจะมี “ทางลง” เมื่อ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงไม่เช่นนั้นจะไม่เจรจากำแพงภาษี ทั้งสองประเทศ จึงเป็นที่มาการเข้าสู่โต๊ะเจรจาเมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ที่มาเลเซีย โดยมี อันวาร์ อิบราฮิม  นายกฯมาเลเซีย อาสาเป็น “คนกลาง” ให้เกิดการเจรจาระหว่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย  ในฐานะรักษาการณ์นายกฯ กับ “พล.อ.ฮุน มาเนต” นายกฯกัมพูชา  เพื่อนำไปสู่การหยุดยิงทันทีตามมา

ปัญหาใหญ่ที่อยู่บนบ่าของรัฐบาลไทย นำโดย ภูมิธรรม เวลานี้นั้นไม่เพียงแต่ จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่นี่คือโอกาสที่จะพลิกทำให้สถานการณ์ของทักษิณ นายกฯแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย ไม่เดินไปสู่หุบเหวข้างหน้า !