เหตุการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาได้ยกระดับความรุนแรงอย่างรวดเร็ว เริ่มต้นจากช่วงเย็นวันที่ 23 กรกฎาคม เมื่อทหารไทยชุดลาดตระเวนของกองพันทหารราบที่ 14 เหยียบทุ่นระเบิดบริเวณช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 5 นาย หนึ่งในนั้นขาขวาขาดทันที ส่วนที่เหลือบาดเจ็บจากแรงระเบิด
ฝ่ายไทยสั่งปิดด่านชายแดนทันที พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ ขณะที่กัมพูชาก็ตอบโต้ด้วยมาตรการเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าช่องทางการเจรจาถูกลดทอนลงจนเกือบหมดสิ้น แม้ในช่วงแรกจะเป็นเหตุเฉพาะหน้า แต่เช้าวันที่ 24 กรกฎาคม สถานการณ์ได้ขยายตัวเป็นการปะทะเต็มรูปแบบหลายจุด ตั้งแต่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ไปจนถึงแนวชายแดน จ.อุบลราชธานีและศรีสะเกษ พร้อมเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นและการใช้จรวด BM-21 ซึ่งสะท้อนว่าความตึงเครียดได้เข้าสู่ขั้นวิกฤติ
นอกจากนี้ รายงานล่าสุดระบุว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศไทยจำนวน 6 ลำ ถูกเตรียมพร้อมปฏิบัติการตอบโต้ในพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าไทยพร้อมจะขยายการตอบโต้หากกัมพูชายังรุกล้ำต่อไป
การยิงจรวด BM-21 เข้าสู่พื้นที่ชุมชน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 3 ราย ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทำให้สงครามชายแดนครั้งนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะกำลังพล แต่ลุกลามถึงพลเรือนโดยตรง การอพยพประชาชนจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ขณะที่แนวโน้มปะทะขยายวงกว้างในพื้นที่ 7 จุดหลัก ทำให้ความมั่นคงชายแดนและเศรษฐกิจท้องถิ่นสั่นคลอน
การค้าชายแดนหยุดชะงัก ท่องเที่ยวชายแดนทรุดหนัก ราคาสินค้าและค่าครองชีพพุ่ง ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์วิกฤติตอนนี้ ไทยยังคงได้เปรียบทั้งด้านยุทธศาสตร์และขีดความสามารถทางทหาร แต่ต้องจับตาว่ากัมพูชาจะใช้ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” และ “เวทีโลก” เป็นเครื่องมือกดดันไทยหรือไม่ การปฏิบัติการทางการทูตต้องเดินคู่ไปกับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมวางไพ่สำคัญล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียว