เสือตัวที่ 6 การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปลายด้ามขวาน เป็นการต่อสู้แบบใต้ดิน ที่นักการทหารเรียกกันว่า การรบนอกแบบ หรือบางสำนักเรียกกันว่า การรบแบบกองโจร เพราะการต่อสู้ของฝ่ายก่อเหตุรุนแรงในขบวนการไฟใต้ของไทย เป็นการต่อสู้โดยกลุ่มคนเล็กๆ จำนวนหนึ่ง ที่อาจหาญต่อกรกับฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทย ที่มีศักยภาพในการต่อสู้มากมายมหาศาลกว่ากันอย่างเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย การต่อสู้ของบรรดากองกำลังติดอาวุธ และแกนนำ ตลอดจนแนวร่วมขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ทั้งหลาย จึงต้องหลบซ่อนในมุมมืด และฉกฉวยโอกาสทำลายเป้าหมายที่เป็นฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในที่แจ้ง ด้วยความโหดเหี้ยม เพื่อหวังทำลายขวัญกำลังใจในการสู้รบในสมรภูมิแห่งนี้ การต่อสู้ของบรรดากลุ่มคนแนวคิดสุดโต่งในขบวนการร้ายแห่งนี้ จึงต้องใช้วิธีการปกปิดรักษาความลับขั้นสุดยอด ปฏิบัติการหลอกล่อ ที่เรียกว่าการลวงฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐให้สับสนอลหม่านและจับทางไม่ได้ รวมทั้งหลบซ่อนกระบวนการต่อสู้และแสวงหา สร้างแนวร่วมขบวนการและสร้างนักรบหน้าใหม่ขึ้นมาทดแทนนักรบรุนเก่าที่หมดพละกำลังลงหรือถูกไล่ล่าจับกุมจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนแห่งนี้ ยังคงมีพลังในการสานต่อแนวคิด ขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐ ในรูปแบบลับ ลวง พรางได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่ต่อไป และหลายครั้งหลายหนที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวในการบ่มเพาะแนวคอดสุดโต่งให้กับคนรุ่นใหม่ ทั้งในสถานศึกษาบางแห่งในพื้นที่ และนำไปบ่มเพาะแนวคิดแปลกแยก ตลอดจนสร้างเสริมสมรรถภาพร่างกายให้เกิดความมั่นใจในการร่วมก่อเหตุร้ายของเยาวชนในพื้นที่ได้อย่างที่เรียกว่าคาหนังคาเขา แต่แกนนำที่นำพาแนวคิดแปลกแยกเหล่านั้น ก็มักจะหาทางออกไปแบบข้างๆ คูๆ โดยมักจะอ้างว่า เป็นการจัดกิจกรรมค่ายฤดูร้อน เป็นการเล่นสนุกๆ ของเด็กและเยาวชนประกอบการออกทำกิจกรรมนอกสถานที่ โดยไม่เกี่ยวข้องกกับการฝึกอบรมนักรบหน้าใหม่เข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนแต่อยางใด ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านั้น เป็นเพียงการพยายามหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบนหลักที่ว่าขบวนการต้อง ลับ ลวง พราง เพื่อต่อสู้กับรัฐไทยได้อย่างทัดเทียมกัน และล่าสุด ผบ.ฉก.ทพ.42 ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีเยาวชนและชายฉกรรจ์ฝึกร่างกายด้วยมือเปล่าในปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ เลขที่ 4 หมู่ 4 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นการจับนักเรียนปอเนาะที่เป็นชาวกัมพูชา โดยทุกคนไม่มีหนังสือเดินทาง และหนังสือเดินทางหมดอายุ หลังจากเข้ามาฝึกร่างกาย การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ซึ่งปอเนาะก็คือสถานที่ศึกษาและที่อยู่ประจำของเยาวชนมุสลิมในพื้นที่แห่งนี้ ผลการเข้าปิดล้อมตรวจค้น พบว่าเป็นเยาวชนและชายฉกรรจ์ชาวมุสลิมกัมพูชา 13 คน ได้เข้ามาฝึกร่างก่าย และฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่าภายในปอเนาะ จึงได้ควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร และดำเนินการตามกระบวนการ เบื้องต้น อยู่ในระหว่างการสอบสวนหาความเชื่อมโยงกับการร่วมขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ว่าจะมีหรือไม่ เพียงใด และยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาอะไรกับคนกลุ่มนี้ รวมทั้งการนำเจ้าของปอเนาะดังกล่าวมาสอบสวนหาร่องรอยของการนำคนกลุ่มนี้มาฝึก เพื่อเป้าประสงค์อะไร และก็เหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมาของเหตุการณ์ลักษณะนี้ ที่จะมีคนออกมาโต้แย้งให้เหตุผลข้างๆ คูๆ ว่า เป็นการจัดกิจกรรมของนักเรียนโดยไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบ โดยครั้งนี้  นายกสมาคมสถาบันการศึกษาปอเนาะ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ก็ออกมาอ้างว่า เยาวชนและชายฉกรรจ์ชาวมุสลิมทั้งหมดในปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ อ.มายอ จ.ปัตตานี โดยมีนายสะอูดี เลาะแม็ง อายุ 50 ปี เจ้าของโรงเรียนปอเนาะ ที่ถูก จนท.ควบคุมตัวนั้น ไม่ได้มีการฝึกร่างกายตามที่ตั้งข้อสงสัย แต่เป็นการละเล่นของเด็กกัมพูชา โดยเป็นการเล่นด้วยวิธีมือเปล่าเท่านั้น ทั้งที่คนกลุ่มนี้ หาใช่เด็กนักเรียนแต่อย่างใดไม่ หากแต่เป็นเยาวชนและชายฉกรรจ์ที่มีวุฒิภาวะในการกระทำการใดๆ แล้วทั้งสิ้น เพราะจากข้อมูลฝ่ายความมั่นคงของรัฐ พบว่า คนกลุ่มนี้ มีอายุอยู่ในช่วง 19 -40 ปี ได้แก่ นายอาลียัส ดือระซอ อายุ 19 ปี, นายสูเปียน เจะมะ อายุ 23 ปี, นายมูฮัมหมัดอัมรี มะเยง อายุ 19 ปี, นายมะเปาะซู คาเร็ง อายุ 40 ปี, นายอับดุลเลาะ สาแมง อายุ 20 ปี, นายฮาริส มีซา อายุ 23 ปี, นายยะยา ดือราแม อายุ 18 ปี, นายธลิต แวหามะ อายุ 21 ปี, นายอาหามะ เจะดาโอ๊ะ อายุ 36 ปี, นายบุรฮานนุดีน ลาเตะ อายุ 22 ปี, นายรอมลี สาแมง อายุ 35 ปี และนายบูขอรี เจะมะ อายุ 19 ปี คำถามข้อใหญ่ก็คือว่า เหตุใด ผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้และเครือข่าย จึงปล่อยให้เยาวชนและชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ มาทำกิจกรรมที่ล่อแหลมและหมิ่นแหม่กับการเตรียมคนไว้ต่อสู้กับรัฐ และหากบริสุทธิ์ใจอย่างที่กล่าวอ้างจริง เจ้าของปอเนาะแห่งนี้ ควรจะแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายความมั่นคงที่มีอยู่ทั่วไปให้รับทราบถึงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวและยินยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ได้อย่างเปิดเผย หาใช่การตรวจพบจากการแจ้งเบาะแสของสายข่าวของรัฐและชาวบ้านบริเวณนั้น ที่ชาวบ้านได้แจ้งเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะไม่ต้องการความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอย่างโหดร้ายอีกต่อไป การตรวจค้น จับกุมดังกล่าว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกต้องข้อสงสัยได้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งของการขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐของกลุ่มคนเห็นต่าง หัวคิดรุนแรง บนแนวทาง ลับ ลวง พราง อีกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา