ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การควบคุมสารอันตรายในประเทศไทยได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ได้มีการประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง "บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 8)" ซึ่งมีผลให้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า และตะไคร้หอม ได้ถูกยกเลิกจากการควบคุมในฐานะวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ตามบัญชี 1 ของกรมวิชาการเกษตร ภายหลังจากที่เคยถูกกำหนดให้เป็นสารควบคุมลำดับที่ 8 ในบัญชี 1.2 ของกรมวิชาการเกษตร

สารสกัดจากพืชเหล่านี้เคยถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อวัตถุอันตรายประเภท 2 ซึ่งหมายความว่า ผู้ผลิตหรือผู้ครอบครองต้องดำเนินการแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการครอบครองสารเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การทบทวนกฎหมายในครั้งนี้ได้ยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตและผู้ครอบครองสารสกัดจากพืชเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนดำเนินการอีกต่อไป

การยกเลิกการควบคุมสารสกัดจากพืชนี้ส่งผลดีต่อการใช้สมุนไพรไทยในการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในด้านการควบคุมแมลงศัตรูพืช ซึ่งเกษตรกรและผู้ผลิตสามารถนำสารสกัดจากพืชเหล่านี้มาใช้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการขึ้นทะเบียนที่ซับซ้อน นอกจากนี้ การยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ยังช่วยลดภาระทางกฎหมายที่ผู้ผลิตและผู้ครอบครองต้องเผชิญในอดีต อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมสมุนไพรในประเทศไทย ทั้งในด้านการผลิตและการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพร

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปลดล็อกสารสกัดจากพืชเหล่านี้จะส่งผลดีในหลายด้าน แต่ยังคงมีข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากสารสกัดจากพืชเหล่านี้บางชนิดอาจมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือความเป็นพิษในบางกรณี ดังนั้น การศึกษาวิจัยและการควบคุมคุณภาพของสารสกัดเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารสกัดเหล่านี้ในปริมาณมากหรือผิดวิธี

โดยสรุป การยกเลิกการควบคุมสารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า และตะไคร้หอม เป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ผลิตสามารถนำสมุนไพรเหล่านี้มาใช้ได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การใช้งานยังคงต้องได้รับการควบคุมและศึกษาคุณภาพอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการใช้สมุนไพรเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว