ที่มาเลเซีย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี ประกาศทำสงครามต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ผ่านแผนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ NACPมีระยะเวลา 5ปี ระหว่างปี 2019-2023โดยจะดำเนินการอย่างเข้มงวดกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการรับสินบน การควบคุมการจัดซื้อจัดจ้าง การบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมเงินทุนสนับสนุนทางการเมือง และการล็อบบี้ ในขณะที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International )หรือ TI เพิ่งประกาศดัชนีคอร์รัปชันของมาเลเซียเป็นอันดับที่ 61 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว แม้จะยังได้คะแนน 47 คะแนนเท่าเดิม เป็นที่ 3 ในเอเซีย รองจากสิงคโปร์และบรูไน และเหนือกว่า อินโดนีเซียที่อยู่ในอันดับที่ 89 และไทย ที่อยู่ในอันดับที่ 99 สำหรับประเทศไทยได้คะแนน 36 คะแนน น้อยกว่าเมื่อปีที่แล้วที่ได้ 37 คะแนน วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) อธิบายการให้ค่าคะแนน CPI ปี 2018 ของ TI ว่า ได้พิจารณาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่งข้อมูล ซึ่งไทยได้คะแนนเท่าเดิม 6 แหล่ง แต่คะแนนลดลง 3 แหล่ง 1.ด้านพัฒนาการจัดการสถาบันระหว่างประเทศ 2.ด้านการให้คำปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ 3.ด้านความหลากหลายของโครงการประชาธิปไตย ซึ่งพิจารณาจากการถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ความเห็นของเลขาธิการป.ป.ช.ระบุว่าคะแนนลดลง น่าจะเป็นเพราะปีที่ผ่านมาสังคมโลกมองว่าไทยยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพบางประการเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ทำให้การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และกระบวนการยุติธรรมยังไม่ชัดเจน เลขาธิการ ป.ป.ช.ยังขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในสังคม รวมพลังกันสร้างสังคมที่ไม่ทนกับการทุจริต โดยรัฐบาลต้องมีเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ภาครัฐต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาคเอกชนต้องไม่ให้ความร่วมมือในการให้สินบนทุกรูปแบบ และมีการควบคุมภายในที่มีประ สิทธิภาพ ภาคประชาสังคมต้องมีความตื่นตัว ไม่ยอม ไม่ทน ไม่เฉย ต่อการทุจริตทุกรูปแบบ สร้างค่านิยมสุจริต ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต อย่างไรก็ตาม ดัชนีคอร์รัปชันประกาศออกมาในห้วงระยะเวลาที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเลือกตั้ง แน่นอนว่า ย่อมถูกนำไปเป็นประเด็นต่อสู้กันทางการเมือง แต่ในทางกลับกัน หากผู้ที่จะเสนอตัวเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ จะแข่งขันกันเสนอแผนบูรณาการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติขึ้นมา เพื่อให้ภาครัฐมีความซื่อสัตย์ ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าการโจมตีใส่ร้ายกันทางการเมือง ที่รังแต่จะสร้างบรรยากาศที่น่าเบื่อหน่าย