“การวัดทุกวันนี้แตกต่างไปกว่าสมัยโบราณเป็นอันมาก ในสมัยโบราณในเมืองไทยเรานั้น วัดเป็นสถานที่สำคัญ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่สำหรับประดิษฐานพระศาสนา นอกจากนั้นวัดก็เป็นศูนย์กลางของศาสนาและศีลธรรมทั้งปวงของบรรดาคนไทยทั้งหลาย
ศูนย์ของการศึกษาวิทยาการต่าง ๆ นั้นอยู่ในวัด พระนั้นนอกจากจะสอนศาสนาและศีลธรรมแล้ว ยังให้การศึกษาแก่ประชาชนอีกด้วย
ถ้าท่านไปดูในวัดโพธิ์ จะเห็นได้ว่ามีศิลาจารึกตำรับตำราวิทยาการทุกอย่างที่เรารู้กันในสมัยนั้น และถ้าอ่านวรรณคดีอ่านหนังสือในสมัยโบราณจะเห็นได้ว่า เมื่อก่อนนี้เมื่อมีลูกมีเต้าก็เอาไปฝากไว้อยู่ในวัด เพื่อจะได้เล่าเรียน มีความรู้มีวิชาติดตัวต่อไป
นอกจากการศึกษาแล้ว วัดก็ยังเป็นศูนย์แห่งศิลปะ ศิลปินก็คือพระ ขรัวอินโข่ง ท่านอาจารย์นาค เหล่านี้เป็นศิลปินชั้นสูงสุดของเมืองไทย ไม่น้อยหน้าประเทศใดเลยนั้นก็เป็นพระในวัด เพราะฉะนั้นวัดก็เป็นศูนย์ของศิลปะ พระเป็นผู้สร้างศิลปะของชาติไทย และเป็นผู้รักษาศิลปะไว้ให้คงอยู่ต่อไป
นอกจากศิลปะ พระและวัดก็ยังเป็นศูนย์หรือเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการของประเทศ คนในละแวกบ้านทุกแห่งมักไปชุมนุมกันที่วัด เพื่อปรึกษากิจการเกี่ยวกับผลประโยชน์ของบ้าน แล้วก็มีพระเป็นที่ปรึกษาให้ความเห็นในทางที่ชอบเพื่อความเจริญต่อไปและเพื่อความสงบ
ประการสุดท้าย วัดเป็นที่พึ่งของคนที่สิ้นหวัง คนที่ยากจนหมดหนทางทำมาหากิน ไม่มีพี่น้องเลี้ยงดูก็มักจะเข้าวัด เพื่ออาศัยข้าวพระกินไปวันหนึ่ง ๆ และพระท่านก็เลี้ยงดูได้ด้วยพรหมวิหารด้วยความเมตตากรุณา วัดในสมัยก่อนมีหน้าที่สำคัญ ๆ เป็นชีวิตจิตใจของประชาชนทั่วประเทศ แต่ทุกวันนี้หน้าที่ต่าง ๆ ของวัดได้ถูกโลกดึงเอามาทำเสียหมด การศึกษาวิทยาการต่าง ๆ เป็นเรื่องของรัฐบาลจะต้องทำ ศิลปะต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องของเอกชน หรือรัฐบาลก็ตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรขึ้น มีโรงเรียนต่าง ๆ สอนศิลปะ ศิลปะในวัดนั้นพระก็ไม่มีหน้าที่จะสร้างขึ้น และที่ได้สร้างมาแล้วเดี๋ยวนี้ก็ดูท่านจะไม่รักษากัน จะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปถูกลักถูกขโมย ภาพฝาผนังโบสถ์ก็ลอกไป สูญหายไป หน้าที่ในทางการพัฒนาการ ในทางดูแลประชาชนให้มีความคิดอันถูกต้อง สร้างตนเองให้ถูก รัฐบาลก็เอาไปทำ
แม้แต่พระศาสนาก็มีคนตั้งสมาคมสั่งสอนและสอนกันตามโรงเรียน ศีลธรรมก็มีครูเป็นผู้อบรมตามโรงเรียนของรัฐบาลบ้าง ในโรงเรียนราษฎร์บ้าง และคนสิ้นหวังก็มีกรมประชาสงเคราะห์ขึ้นรับให้ความช่วยเหลือ สรุปแล้วหน้าที่ของวัดซึ่งเคยเป็นหน้าที่สำคัญนั้น บัดนี้ไม่มีอะไรเหลือ โลกหรือฆราวาสหรือรัฐบาลได้เอามาทำเสียหมด ผลที่เกิดก็คือว่าสมัยนี้วัดมีแต่ความว่างเปล่า พระก็ไม่มีอะไรทำ.... ” ( คึกฤทธิ์ ปราโมช “เพื่อนนอน” วันที่ 30 กันยายน 2505)