เสรี พงศ์พิศ
FB Seri Phongphit
ฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) ยิว/เยอรมัน/อเมริกัน ผู้ลี้ภัยนาซีไปสหรัฐอเมริกา เป็นนักปรัชญาการเมือง ผู้เขียน "กำเนิดลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จ" (The Origin of Totalitarianism) ผู้ซึ่งได้เห็นและวิเคราะห์แก่นแท้ของความชั่วร้ายในยุคของเธอ
อาเรนท์ไปเยรูซาเล็มเมื่อปี 1961 เพื่อรับฟังการดำเนินคดี Adolf Eichmann อดีตผู้นำสำคัญของนาซี เธอรายงานเหตุการณ์ครั้งนั้น ใช้วลีที่มีชื่อเสียง เพื่อบรรยาย “จิตสำนึก” ของไอค์มันน์ว่า "ความชั่วร้ายโดยปราศจากความคิด" (The Banality of Evil) หรือ “ความชั่วร้ายที่กลายเป็นเรื่องธรรมดา”
เธอไม่ได้หมายความว่าความชั่วไม่ร้ายแรง แต่ชี้ให้เห็นว่าความชั่วที่แท้จริงในยุคสมัยใหม่มักไม่ปรากฏในรูปของปีศาจ แต่ในรูปลักษณ์ของบุคคล ข้าราชการ และผู้นำที่ “ทำตามหน้าที่” อย่างไร้การคิด
เธอหมายความว่า “ความชั่วร้ายที่แท้จริงอาจไม่ได้มาจากความโหดร้ายโดยเจตนาเสมอไป แต่มาจากการที่บุคคลไม่ใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking)”
หากวันนี้ อาเรนท์ยังมีชีวิตอยู่และเฝ้าดูสงครามในกาซา การรุกรานอย่างไม่หยุดยั้ง การทิ้งระเบิดโรงพยาบาล โรงเรียน และค่ายผู้ลี้ภัย มีคนตายห้าหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก มีผู้นำอย่างเนทันยาฮู ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากโดนัลด์ ทรัมป์ เธออาจเขียนคำวิเคราะห์ในน้ำเสียงที่สะท้อนความผิดหวังอย่างลึกซึ้ง ว่า “เรากำลังอยู่ในยุคที่ความชั่วร้ายกลายเป็นเรื่องธรรมดาอีกครั้ง”
เนทันยาฮูอาจบอกว่าเขาเพียงแค่ “ปกป้องประเทศ” ในขณะที่ปาเลสไตน์ถูกตัดน้ำตัดไฟและอาหารอย่างเป็นระบบ ทรัมป์อาจอ้างว่าเขาเพียงแค่ “ยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล” ขณะที่เขาเคยถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านและทำให้ไฟความขัดแย้งลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
อาเรนท์อาจชี้ให้เห็นว่า ผู้นำเหล่านี้กำลังสร้างโครงสร้างของ “ความชั่วร้ายโดยระบบ” ที่ขจัดความรับผิดชอบส่วนบุคคล ด้วยวาทกรรมทางศีลธรรมที่คลุมเครือ เช่น “สันติภาพ” หรือ “ความมั่นคง” ในขณะที่ทำลายมนุษย์จริง ๆ
หนึ่งในแนวคิดสำคัญของอาเรนท์คือ “สิทธิในการมีสิทธิ” (right to have rights) ซึ่งหมายถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ สิทธิในการอยู่ในโลกที่มีการยอมรับทางการเมืองและกฎหมาย
ในกรณีของกาซา ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดล้อม มีประชากรกว่า 2 ล้านคนที่ไม่สามารถเดินทาง ไม่สามารถเลือกผู้ปกครองที่แท้จริง และไม่มีรัฐที่จะรับรองสถานะของพวกเขา อาเรนท์อาจเตือนว่า
“พวกเขาไม่ได้ถูกทำลายด้วยระเบิดเท่านั้น แต่ถูกทำลายด้วยการลบล้างสถานะความเป็นมนุษย์อย่างเป็นระบบ” สำหรับเธอ การไม่มีรัฐหมายถึงการไม่มีพื้นที่ยืนในโลกแห่งกฎหมาย และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของความเป็นมนุษย์ในยุคสมัยใหม่
อาเรนท์เคยเตือนว่า ลัทธิเผด็จการไม่ได้เกิดจากอำนาจป่าเถื่อนเสมอไป แต่เกิดจาก การบิดเบือนข้อเท็จจริงและการสร้างศัตรูร่วมอย่างเป็นระบบ เพื่อรวมศูนย์อำนาจ โดยเฉพาะในประชาธิปไตยที่เสื่อมถอย
ถ้าฟื้นคืนมา เธอคงมีบทวิจารณ์ที่เฉียบคมต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างแน่นอน โดยเฉพาะต่อผู้นำอย่าง เบนจามิน เนทันยาฮู และ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงการกระทำที่มีต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซา และพฤติกรรมต่ออิหร่าน
หากอาเรนท์ได้เห็นการทิ้งระเบิดใส่พลเรือนในกาซาโดยอ้างว่าเป็นการ “ป้องกันตัว” หรือการทำลายล้างโครงสร้างพื้นฐานในนามของ “สงครามต่อต้านความชั่วร้าย” เธออาจมองว่านี่คือรูปแบบใหม่ของ “ความชั่วร้ายเชิงระบบ” ที่ผู้กระทำพยายามอ้าง “หน้าที่” หรือ “เหตุผลของรัฐ” เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางศีลธรรม
อาเรนท์ศึกษาลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จทั้งในรูปของนาซีเยอรมันและสตาลินโซเวียต เธอเน้นว่าผู้นำแบบนี้มักบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ สร้างศัตรูร่วมเพื่อรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ประชาชนเสพติดความหวาดกลัวและความเกลียดชัง
ทั้งทรัมป์และเนทันยาฮูใช้วาทกรรม “เรา vs พวกเขา” อย่างเป็นระบบ โดยทรัมป์สร้างศัตรูจากผู้อพยพ ชาวมุสลิม และพรรคเดโมแครต ขณะที่เนทันยาฮูใช้คำว่า “ก่อการร้าย” แทน “ประชาชนปาเลสไตน์” เพื่อทำให้การใช้กำลังทางทหารไม่ต้องถูกตั้งคำถาม
หากเธอเห็นการโจมตีอิหร่านจากอิสราเอลหรือพันธมิตรตะวันตกภายใต้ข้ออ้างเรื่อง “นิวเคลียร์” หรือ “ภัยจากกลุ่มติดอาวุธ” โดยไม่มีเวทีเจรจาทางการทูตที่แท้จริง อาเรนท์อาจกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่การใช้เหตุผล แต่เป็นการใช้ความกลัวเพื่อให้การทำลายล้างเป็นที่ยอมรับได้ในทางศีลธรรม”
คำถามสุดท้าย ใครคือเหยื่อ ใครคือมนุษย์ อาเรนท์ไม่เคยไม่ลืมว่าประวัติศาสตร์ยิวมีทั้งความทรมานและความอยู่รอด เธอเคยวิจารณ์อิสราเอลในช่วงต้นว่าไม่ควรเป็นรัฐชาติเชิงชาตินิยม เพราะมันจะทำลายอุดมคติของเสรีภาพและความยุติธรรมที่ยิวควรธำรงไว้หลังผ่าน “แดนนรก Holocaust”
หากเห็นการถล่มโรงเรียนในกาซา เธอคงไม่ถามว่า “ใครเริ่มก่อน” แต่จะถามว่า “เมื่อใดที่ความเจ็บปวดของอดีตกลายเป็นข้ออ้างในการทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บปวดอีก”
สิ่งที่อาเรนท์มักเรียกร้องจากมนุษย์คือ “ความกล้าที่จะคิด” (the courage to think) เธอไม่เรียกร้องให้ทุกคนเป็นนักปรัชญา แต่ให้ทุกคนหยุดและถามว่า สิ่งที่เราสนับสนุนคืออะไร เรากำลังทำให้ใครต้องปิดปาก หยุดคิด และเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ “ความไม่รู้อันเจตนา” ได้หรือไม่
หากเธอยังมีชีวิตอยู่ อาเรนท์อาจเขียนบทความและจบอย่างดุดันแต่ลุ่มลึก และตั้งคำถามต่อสังคมที่ผู้คนเทิดทูนประชาธิปไตยว่า
“หายนะของมนุษย์ในศตวรรษนี้ จะไม่ใช่เพราะปีศาจมีอำนาจมากขึ้น แต่เพราะเราทำให้มนุษย์ธรรมดาเชื่อว่า ความไม่คิด คือการอยู่รอด และความไม่รู้สึก คือการปกป้องประชาธิปไตย”