ทวี สุรฤทธิกุล

เจ็บปวดไหมครับ ถ้ามีคนบอกว่า “เพราะคนไทยชั่วช้าหน้าด้าน เราจึงมีผู้ปกครองที่ชั่วช้าหน้าด้าน”

วลีข้างต้นเทียบเคียงมาจากคำภาษาอังกฤษ ที่ว่า “As the people are, so will the rulers be.” โดยนักรัฐศาสตร์ชอบใช้อธิบายถึง “พฤติกรรมทางการเมือง” ของประเทศต่าง ๆ ซึ่งอธิบายว่า การเมืองการปกครองในประเทศแต่ละประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพและค่านิยมของประชาชนในประเทศนั้น ๆ เป็นสำคัญ เป็นต้นว่า คุณลักษณะของผู้ปกครอง และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ยกตัวอย่างประเทศที่มีพฤติกรรมการเมืองเป็นแบบประชาธิปไตย อย่างเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือสหรัฐอเมริกา ก็เป็นด้วยประชาชนในทั้งสามประเทศนี้ถูก “ปลูกฝัง” ให้มีความชื่นชอบและเห็นคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย โดยมีประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นมาอย่างลึกซึ้ง ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของประชาชน ในขณะที่ประเทศที่เป็นเผด็จการ อย่างกรณีของประเทศไทย ที่แม้จะได้ชื่อว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่โดยเนื้อแท้ก็ยังเป็นเผด็จการมาโดยตลอด (แม้แต่ในเวลาที่มีสภาหรือมีการเลือกตั้ง ก็เป็นเผด็จการทางรัฐสภาและมีรัฐบาลแบบที่ให้อำนาจเด็ดขาดกับผู้นำ) ก็เพราะคนไทยคุ้นชินกับความเป็นเผด็จการมาตั้งแต่โบราณ แม้แต่คณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในรูปแบบที่อ้างจะสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ก็ยังนำเอาวิธีการแบบเผด็จการมาใช้อยู่หลายปี โดยหลังจากนั้นเราก็กลับไปสู่ระบอบทหาร รวมถึงระบอบประชาธิปไตยที่มีทหารค้ำจุนนั้นมาโดยตลอด

ในตำรารัฐศาสตร์บอกว่าคนไทยมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ “ไพร่ฟ้า” หมายความว่า คนไทยถูกปลูกฝังให้มีค่านิยมและความเชื่อที่ยอมรับในอำนาจของเบื้องบนหรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า โดยคาดหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองและความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจเหล่านั้น จึงเคยชินกับการที่จะมอบตัวเข้ารับความคุ้มครองเพื่อความปลอดภัยหรือรับผลประโยชน์ที่มีคนอื่นมอบให้ นั่นก็คือคนไทยถูกปกครองโดยระบบไพร่ของ “ระบอบกษัตริย์” มาแต่โบราณ ภายใต้พระบรมเดชานุภาพและพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ แม้ภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรก็ไม่อาจสลายค่านิยมและความเชื่อนี้ไปจากคนไทย และยิ่งผู้นำในคณะราษฎรที่เป็นทหารก็หันมา “เกาะยึด” อยู่กับพระมหากษัตริย์ (ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทหารได้ทำรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 แล้วค่อย ๆ กำจัดพวกคณะราษฎรในฝ่ายพลเรือนออกไป โดยเฉพาะชะตากรรมของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ต้องหนีภัยไปอยู่ในต่างประเทศในวันนั้น) แล้วสถาปนาระบอบประชาธิปไตย “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” ขึ้น ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยยังผูกพันอยู่กับระบอบกษัตริย์นั้นอย่างแน่นแฟ้น

อย่างไรก็ตามนักรัฐศาสตร์ก็มีทฤษฎีว่า การที่ประชาชนเลือกสรรหรือรับเอาระบอบการปกครองใด ๆ เข้ามาใช้ปกครองพวกเขา ก็เพราะระบอบการปกครองนั้นมี “ข้อดี” (Benefits) ที่ให้ประโยชน์แก่ประชาชน หรือเป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนพึงพอใจและเข้ากันได้กับความคิดความเชื่อของพวกเขา ดังนั้นการที่คนไทยหันกลับไปชื่นชอบหรือยอมรับให้ระบอบกษัตริย์กลับคืนมา (แม้จะโดยทางอ้อม คือเมื่อมีรัฐสภาก็จะใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา รัฐบาล และศาล หรือในเวลาที่มีรัฐประหารก็โดยผ่านกองทัพและผู้นำทหาร รวมถึงระบอบรัฐสภาที่มีทหารค้ำจุนนั้นด้วย โดยทหารก็ยึดโยงอยู่กับพระมหากษัตริย์อย่างแยกกันไม่ออกนั่นเอง) ก็แสดงว่าคนไทยได้ใช้ “สัญชาติญาณ” ที่ปลูกฝังมาตั้งแต่อดีต เลือกสรรระบอบการปกครองแบบนี้เอง

เรื่องที่คนไทยชื่นชอบในระบอบพระมหากษัตริย์ที่มีทหารค้ำจุนนี้ น่าจะมีสาเหตุมาจากอีกปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ความล้มเหลวของระบอบรัฐสภา” เรื่องนี้ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนเป็นบทความไว้ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ภายหลังที่ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในช่วงสั้น ๆ ในปี 2518 ซึ่งท่านได้ย้อนบรรยากาศทางการเมืองไปในช่วงที่นิสิตนักศึกษาเดินขบวนขับไล่ทหาร เมื่อวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2517 แล้วก็เกิดมีขบวนการ “เสรีภาพเฟ้อ” คือการแสดงออกอย่างไม่มีขอบเขตของกลุ่มนิสิตนักศึกษา รวมถึงประชาชนกลุ่มต่าง ๆ มีการประท้วง เรียกร้อง และก่อความวุ่นวายทุกวัน ซึ่งท่านก็เตือนว่า “ประชาธิปไตยจะไปไม่รอด” ครั้นพอมีเลือกตั้งและมีรัฐบาลขึ้นในต้นปี 2518 ความวุ่นวายเหล่านั้นก็ไม่เบาบางลง ทั้งยังไปเกิดความวุ่นวายแบบเดียวกันนั้นขึ้นในสภา ที่สุดท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ต้องใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาและมีเลือกตั้งใหม่ในตอนต้นปี 2519 กระนั้นความวุ่นวายนั้นก็ไม่จบลง รัฐบาลใหม่ต้องถูกทำรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 7 ตุลาคมปีนั้น และทหารก็กลับคืนมา “ยึด” ประเทศไทยดังเดิม

ข้อตักเตือนและข้อสังเกตของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นี้ อาจจะมองว่าเป็นทฤษฎีทางการเมืองไทยทฤษฎีหนึ่งก็ได้ ซึ่งเราอาจใช้อธิบายการรัฐประหารที่มีต่อมาได้ทุกครั้ง ไม่ว่ารัฐประหารในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และล่าสุด รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งก็เป็นเพราะผู้ปกครองที่มาจากการเลือกตั้งนั้น “โหลยโท่ย” ใช้ไม่ได้ อย่างที่ทหารได้ล้ม “บุฟเฟต์คาบิเนต” ใน พ.ศ. 2534 หรือ ระบอบทักษิณใน พ.ศ. 2549 รวมถึงใน พ.ศ. 2557 นั้น ก็เพราะได้เกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงขึ้นในหมู่คนไทยว่า “ระบอบรัฐสภาใช้ไม่ได้” จนเปิดใจกลับไปต้อนรับให้ทหารเข้ามายึดอำนาจดังกล่าว

ขณะนี้รัฐบาล “แพไร้กบาล” ก็อยู่ในสถานะที่นำประเทศไทยจมดิ่งสู่ยุค “หมดสิ้นเกียรติภูมิและศักดิ์ศรี” ยอมอ้าซ่าให้เฒ่าเขมรจัญไรมากระทำย่ำยีต่อชาวโลก โดยเอาเกียรติภูมิของประเทศไทยและศักดิ์ศรีของคนไทยทั้งประเทศไป “ล่อเหยื่อ” ซ้ำร้ายซ้ำเลวได้กระทืบหน้ากองทัพและทหารไทย ก่อนจะลูบหัวอธิบายว่า ที่ต้องพูดว่าทหารเป็นคนละพวกก็เพื่อเป็น “แท็คติก” ให้ไอ้เฒ่าหายโกรธ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาใจไอ้เฒ่าและเลียก้นเขมรขนาดนั้น

เรื่องนี้แม่ทัพภาคที่ 2 บอกว่านายกรัฐมนตรี(บางคนเปลี่ยน รัฐมนตรี เป็น อัปรีย์)ได้โทรศัพท์มาทำความเข้าใจแล้ว และตนก็ “เข้าใจ” ท่ามกลางกระแสความชื่นชมว่าสมกับที่ท่านเป็นชายชาติทหาร ที่มีความอดกลั้นอดทน แม้จะถูก “เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน” เอาทหารไปรับโทษเป็นจำเลย หรือเป็น “เชลย” ให้กับชาติศัตรู และหลายคนก็สรรเสริญว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ตอบโต้ทำร้ายหญิงปัญญาอ่อนให้เสื่อมเสียหรืออับอาย

แค่คนไทยอับอายครับ อับอายมาก ทหารอาจจะอดทนได้ ตามบทบาทที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและความเป็นชายชาติทหาร แต่คนไทยเราเป็น “ข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” พระมหากษัตริย์ของเราเคยอุปถัมภ์เลี้ยงดูพวกเขมรนี้มา แต่เมื่อมันมาแว้งกัดและประจานผู้นำไทย ทหารไทย รวมถึงคนไทยด้วยในครั้งนี้ เราก็ไม่อาจจะทน

ไม่ทนฟัง ทนดู และทำใจ เพราะนี่ระคายถึง “เบื้องพระยุคลบาท” ที่คนทั้งชาติจะปล่อยให้มีผู้นำทำชั่วทำเลวแบบนี้ไม่ได้

เดี๋ยวคนทั้งโลกจะประณามคนไทยว่า “เพราะประชาชน(คนไทย)เลว เราจึงได้ผู้ปกครองเลวแบบนี้”