แม้จะมีเงินทองมหาศาล ชื่อเสียง และอำนาจทางสังคม แต่ทำไมคนยังทำผิดกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง? คำตอบอาจไม่ได้อยู่แค่ใน “ความโลภ” แบบผิวเผิน แต่ลึกลงไปคือกระบวนการทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนซึ่งผลักดันพฤติกรรมเหล่านี้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

โดยมี 5 ทฤษฎีจิตวิทยา ที่หยิบยกมาอธิบายได้ว่า ทำไมคนรวยบางคนยังแสวงหาความมั่งคั่งและอำนาจเพิ่มขึ้น แม้จะเสี่ยงทำผิดกฎหมาย ดังนี้

1. Hedonic Treadmill: เมื่อความสุขมีวันหมดอายุ

ทฤษฎี Hedonic Treadmill หรือวงล้อความสุข ชี้ว่ามนุษย์จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีบ้านหลังใหญ่ รถหรู หรือรายได้สูงขึ้น ความสุขจากสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อยๆ จืดจางลง ทำให้ต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ที่ใหญ่กว่า แพงกว่า หรือเร้าใจกว่า เพื่อให้รู้สึกพึงพอใจอีกครั้ง ผลคือ คนที่รวยอยู่แล้วมักไม่หยุดอยู่กับที่ แต่เดินอยู่บนลู่วิ่งแห่งความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันจบ

2. Social Comparison Theory: การเปรียบเทียบทางสังคมไม่สิ้นสุด

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรวย มักไม่ได้เปรียบเทียบกับคนจน แต่จะมองไปที่คนที่ “รวยกว่า” หรือ “ประสบความสำเร็จมากกว่า”การแข่งขันทางสถานะนี้นำไปสู่การสะสมทรัพย์สินหรืออำนาจเกินความจำเป็น เพื่อรักษาหน้า หรือไม่ยอมแพ้ใคร แม้ต้องเสี่ยงผิดกฎหมาย

3. อำนาจที่กัดกร่อนความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

งานวิจัยของ Paul Piff จากมหาวิทยาลัย UC Berkeley พบว่า คนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสูง มักมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมเห็นแก่ตัวมากกว่าคนทั่วไป เช่น ฝ่าไฟแดง ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย หรือโกงเกม เมื่ออำนาจมากขึ้น ความกลัวต่อผลลัพธ์ทางกฎหมายอาจลดลง จึงกลายเป็นว่า “ฉันทำได้ เพราะไม่มีใครเอาผิดฉันได้”

4. Cognitive Dissonance: หาข้ออ้างให้ตัวเอง

เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด คนรวยที่ทำผิดกฎหมายมักใช้เหตุผลในใจเพื่อทำให้รู้สึกว่า “สิ่งที่ทำไม่ผิด” เช่น:

“ทุกคนก็ทำ”

“มันเป็นช่องโหว่ ไม่ใช่การโกง”

“ระบบมันไม่ยุติธรรม ฉันแค่เอาคืน”

กลไกทางจิตนี้ช่วยให้พวกเขาทำผิดได้โดยไม่รู้สึกว่าตนเองผิด

5. Thrill-Seeking & Risk Addiction: เสพติดความตื่นเต้น

บางคนมีบุคลิกภาพแบบ “Thrill-Seeker” คือแสวงหาความตื่นเต้นและความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ยิ่งในวงการการเงิน การลงทุน หรือการพนัน การละเมิดกฎหมายอาจถูกมองเป็น “เกม” ที่มีเดิมพันสูง ซึ่งมอบอะดรีนาลีนและความรู้สึกท้าทาย ความเสี่ยงจึงกลายเป็นเครื่องมือสร้างความตื่นเต้นในชีวิต มากกว่าแค่ผลประโยชน์