ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
ช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ปัญหาความมั่นคงทางทหาร โดยเฉพาะในมิติของความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศ ได้เกิดขึ้นในหลายมุมของโลก
หรือนี่คือการฟื้นคืนชีพของ...สงครามระหว่างประเทศ ?
นับตั้งแต่สงครามเย็นเป็นต้นมา “สงครามร้อน” หรือการใช้กำลังทหารเข้าห้ำหั่นกัน โดยเฉพาะสงครามระหว่างรัฐ ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่จะลดน้อยถอยลงไปตามพลวัตรของการเมืองโลกที่ให้ความสำคัญกับความร่วมมือ การพัฒนาองค์การระหว่างประเทศ รวมไปจนถึงการเชื่อมโยงกันมากขึ้นทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตามพลวัตรของการเติบโตของโลกโลกาภิวัตน์
รัฐในฐานะตัวแสดงหลักของความขัดแย้ง ถูกมองเป็นเพียงตัวละครหนึ่งในทั้งหมด ที่เพิ่มเติมและขยายตัวมากขึ้น โลกได้ให้ความสำคัญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ (Non-traditional Security Threats) มากขึ้น หันเหความสนใจของผู้คนออกจากความขัดแย้งระหว่างประเทศไปสู่ ความขัดแย้งภายในประเทศ การก่อการร้าย จากตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ ไปจนถึงเรื่องเศรษฐกิจ ความยากจน การขาดแคลนน้ำและอาหาร มลภาวะ สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ โรคระบาด และอื่นๆอีกมากมาย
จนหลายคนรู้สึกว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นเพียงจินตนาการ เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เข้าปี 2025 เป็นต้นมา โลกได้เห็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก ไล่ตั้งแต่ รัสเซีย – ยูเครน ที่ยังคงคาราคาซังมาตั้งแต่ปีก่อนโน้น ดูแล้วก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะจบและดูท่าจะลากยาวต่อไปอีก ตามมาด้วย อินเดีย - ปากีสถาน คู่ปรับเก่าแก่ยาวนาน ก็ปะทุขึ้นอีก จนเกิดการหวดกันในช่วงเวลาสั้นๆ แม้ปัจจุบันจะหยุดยิงกันแล้ว แต่ก็ยังระอุอยู่เช่นเดิม
ล่าสุด อิสราเอล – อิหร่าน ก็เปิดจากจัดเต็มกันแบบ “สงครามเต็มรูปแบบ” สาดขีปนาวุธเข้าใส่กันอย่างเมามัน เรียกได้ว่า ใครได้เห็นภาพข่าวต้องเผลอนึกว่าเป็นภาพจากภาพยนตร์สักเรื่อง และแน่นอน กรณีของประเทศไทยกับกัมพูชาก็เช่นกันที่นับว่าเป็นอีกหนึ่งในปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐ ที่แม้ว่าจะยังไม่ได้ใช้กำลังทหารเข้าใส่กันแบบสงคราม full scale เหมือนอิสราเอล แต่ก็นับได้ว่าเป็นความขัดแย้งที่มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทหารเข้าต่อสู้กัน
แค่ 4 ตัวอย่างนี้ ก็เชื่อได้ว่าจะลากยาว ไม่จบกันง่ายๆ
เป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ต่อเป็นอย่างยิ่ง ว่าทำไม? ความขัดแย้งระหว่างประเทศ จึงกลับมาคืนชีพและมีความสำคัญได้อีกครั้ง?
หรือเป็นเพราะระบบและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นนับจากภายหลังสงครามเย็น ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะจัดการความขัดแย้งระหว่างรัฐ ในแบบที่รัฐต่างๆไม่ต้องทะเลาะกัน ?
ส่วนตัวผมมองว่า การเมืองและความมั่นคง เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ขาด เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตภายหลักสงครามเย็น ชัดเจนว่าผู้ชนะในช่วงนั้นคือสหรัฐอเมริกา ผู้เป็นเสาหลักของ “โลกเสรี” ได้มีส่วนจัดแจงกิจกรรมต่างๆภายใต้ร่มโลกเสรีให้เกิดขึ้นเป็นดอกเห็น เช่น การค้าระหว่างประเทศ การยกเว้นภาษีนำเข้า การสร้างองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ การให้การช่วยเหลือประเทศต่างๆผ่านหลักการการพัฒนาประชาธิปไตย (Democratization) เป็นต้น ซึ่งสภาวการณ์ดังกล่าวก็ดันไปสอดคล้องกับการลดลงของความขัดแย้งระหว่างรัฐอย่างชัดเจน หลังจาก 1980 เป็นต้นมา แต่กลับเพิ่มมากขึ้นหลังจากประมาณปี 2013 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน (ตามแผนภาพด้านล่าง)
ที่มา: Amaan Charaniya (2024) https://saisreview.sais.jhu.edu/the-territorial-roots-of-interstate-conf...
สิ่งที่น่าสนใจและวิเคราะห์กันต่อไป คือหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งและเปลี่ยนทิศทางของสหรัฐในรูปแบบที่หลายๆคนมองว่า “ทำลาย” หลักการโลกเสรี ที่สหรัฐสร้างมานับตั้งแต่จบสงครามเย็น กลายเป็นภาพที่สหรัฐกำลังจะเป็นผู้นำของโลกที่อยู่กันแบบ “ตัวใครตัวมัน” ต่างคนต่างต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและผลประโยชน์ของตน
โลกที่ว่านี้ จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์การระหว่างประเทศหายไปหรือไม่? และจะทำให้โลกร้อนขึ้นด้วยความขัดแย้งระหว่างรัฐ มากขึ้นหรือไม่ ? บทบาทของสหรัฐจากเดิมที่เป็นผู้สร้างระบบและระเบียบโลก จากนี้จะเป็นอย่างไร ? และ ความศักดิ์สิทธิ์ของสหรัฐในฐานะพี่ใหญ่ จะเป็นอย่างไร? เหล่านี้ล้วนเป็นคำตอบที่ต้องเฝ้ารอดูกันต่อไป หากมีสถิติเพิ่มเติมอีกสักสองสามปีภายหลังทรัมป์รับตำแหน่ง เราน่าจะตอบคำถามนี้ได้ชัดเจนขึ้น ว่านี่คือการ...คืนชีพ ของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และสงครามระหว่างประเทศ หรือไม่?
ส่วนตัวผม เดาไว้ล่วงหน้าว่า “สงครามระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น” ครับ
เอวัง