สถาพร ศรีสัจจัง
เหตุแห่งการเกิด “ภัยพิบัติ” ของชาติบ้านเมืองนั้น ท่านผู้รู้ในอดีตของสังคมไทยได้ตักเตือนให้ข้อคิดเห็นไว้ในหลายด้านหลายทางด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่มีประเด็นหลักด้านเนื้อหาที่มักจะตรงกัน กล่าว คือ มักจะเน้นว่า วิบัติภัยที่ใหญ่หลวงถึงขนาดอาจทำให้ชาติล่มสลายได้นั้น ล้วนแล้วมักจะเกิดเหตุจาก “คนใน”ทั้งสิ้น
“คนใน” ของสังคมไทยในที่นี้ก็ย่อมหมายถึง “คนไทย” นั่นแหละ!
ทีนี้ลองมาพิจารณากันดูสักหน่อย ว่า “คนไทย” ที่จะมีโอกาสทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดภัยพิบัติถึงขนาดนำไปสู่เหตุแห่งความล่มสลายของชาติบ้านเมืองได้นั้น จะเป็นคนไทยประเภทไหนกันแน่?
ประเภทชาวบ้าน อันได้แก่ “ประชาชน” ธรรมดาๆ ที่ล้วนมีฐานะเป็นเหมือนอย่างที่เพลงชื่อ “ประชาชน” ของวงดนตรีเพื่อชีวิต “คาราวาน” ที่มีนายวงเป็นศิลปินแห่งชาตินาม “สุรชัย จันทิมาธร” ได้สรุป “คุณสมบัติ” ไว้ว่า “ฉันคือประชาชน ต้องอดทนได้ทุกอย่าง…ฉันคือประชาชน ผู้ดิ้นรนทุกเช้าค่ำ…>
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่ “คนที่มีเกียรติ”…ฉันคือประชาชน ไม่ใช่ “คนมีอำนาจ” ไม่เคยคิดไม่เคยคาด จะผูกขาดประเทศไทย…ฉันคือประชาชน ไม่เหมือน “คนที่ยิ่งใหญ่” …หรือเปล่า?
หรือเป็นคนประเภทตรงกันข้ามกับ “ประชาชน” (ตามที่เพลงนี้บอกไว้) คือ “คนที่มีเกียรติ…คนที่ยิ่งใหญ่…คนที่มีอำนาจ…คิดผูกขาดประเทศไทย!”
ปัจจุบัน มีคนพูดกันหนาหูมากขึ้นว่ามีคนชนิดนี้อยู่ในเมืองไทยเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น (คือ “มีอำนาจ” จริง ทั้งด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ) และให้ข้อสังเกตแบบเน้นๆไว้ด้วยว่าที่พิเศษสุดจริงๆ ก็ต้องคือ ตระกูลที่อยากผูกขาดตำแหน่งที่ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ คือตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”!มากที่สุดนั่นเอง
แถมยังบอกใบ้ต่อท้ายให้ด้วยว่า ถ้ายังนึกไม่ออกว่าคือ “ตระกูลไหน” ก็ให้ลองนั่งนิ่งๆแล้วนึกทบทวนดู ว่ามีตระกูลไหนบ้างตั้งแต่ปีพ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน ที่มีคนในตระกูล(ทั้งสายตรงและเขย)ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศดังกล่าวแล้ว รวมถึง 4 คน
แถมยังมี “นอมินี” ที่ถูกหลอกให้เข้าดำรงตำแหน่งแทนชั่วคราว(ภายหลังเป็นที่รู้ๆกันว่า นอมินีจมูกบานคนนั้นก็ถูกหัวหน้าตระกูลดังกล่าวหักหลังจนต้องหลุดจากตำแหน่ง)อีก 1 นับว่าเป็น “ตระกูล” ที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากที่สุดในโลก!
ถ้าบอกใบ้ให้แค่นี้แล้วยังนึกไม่ออกอีกก็ไม่ต้องเสียใจเพราะคงเหมาะสมแล้วกับที่ได้เรียนหนังสือหนังหามาจากระบบการศึกษาของประเทศไทย ที่ฟังว่าตอนนี้ล้าหลังจนจะตกอยู่ลำดับท้ายสุดของอาเซียนเข้าแล้ว!
กลับมาเข้าเรื่อง “เหตุภายใน” สำคัญๆที่อาจจะทำให้ “ชาติบ้านเมือง” เกิด “ภัยพิบัติ” ถึง
ขั้นล้มละลายหรือที่มักเรียกกันเป็นคำสมัยใหม่ในยุคปัจจุบันว่า “รัฐล้มเหลว” (Failed state)กันอีกทีน่าจะดีกว่าไปพูดถึงตระกูลประหลาดๆอะไรก็ไม่รู้!
เหตุความล่มสลายของสังคมนั้น คนโบราณเขาบอกไว้หลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่สำคัญๆและน่าสนใจสำหรับสังคมไทยเรา ก็น่าจะเช่น ประเด็น ผู้คน(โดยเฉพาะชนชั้นนำ)ในชาตินั้นๆขาด “สามัคคีธรรม”(ตามพุทธพจน์ที่ว่า “ความพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะ นำความสุขมาให้”) ดังธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงเทศน์โปรดบรรดากษัตริย์ลิจฉวีชนชั้นปกครองของแคว้นเวสาลีในชมพูทวีปยุคพุทธกาล (โปรดอ่านวรรณคดีเรื่อง “สามัคคีเภทคำฉันท์” ของกวีเอก ชิต บุรทัต ประกอบ!)
หรือที่สมัยใหม่เข้ามาอีกหน่อยก็เช่น ประเด็นความไม่เข้าใจถึงความสำคัญของ “วัฒนธรรม” ว่าเป็นตัวกำหนดความเป็น “ชาติ” และคุณภาพของคนในชาติ ซึ่งเป็นประเด็นนำเสนอและเป็นข้อเชิงสรุปจากการวิจัยและประสบการณ์ในการศึกษาอย่างกว้างขวางและลุ่มลึกของศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ปราชญ์ร่วมสมัยคนสำคัญ ผู้สถาปนาสถาบันทักษิณศึกษาที่เกาะยอ เมืองสงขลา ผู้เพิ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่นานนัก
ความสำคัญของ “วัฒนธรรม” ที่เห็นได้อย่างง่ายๆชัดๆที่สุด ว่าคนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะชนชั้นปกครองและชนชั้นนำของสังคมไทย ขาดความสนใจที่จะให้ความสำคัญในการปกป้องรักษาและอนุรักษ์ เพื่อความถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการสืบสานความเป็น “ชาติ”
ก็คือวัฒนธรรมเรื่อง “การใช้ภาษาไทย”!
แม้กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจะมี “โครงการ” (ในลักษณะงานประจำเล็กๆ) ที่เรียกว่าโครงการคัดเลือกบุคคลเพื่อยกย่องให้เป็น “ผู้ใช้ภาษาไทยและภาษาไทยถิ่นดีเด่น” อยู่ทุกปีๆก็ตาม
แต่ถ้าบรรดา “ผู้ทรงอิทธิพลทางสังคม” (social Infruencer)เช่น ชนชั้นปกครอง (ทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น) สื่อมวลชน (โดยเฉพาะผู้ประกาศและนักแสดง) ดารา ครูบาอาจารย์
เป็นต้น ไม่ตระหนักและไม่สำเหนียกในความสำคัญของเรื่องนี้ จนสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่เยาวชนและคนในสังคมวงกว้างได้(ซึ่งนั่นจะเป็นแบบอย่างที่ดีที่พึงทำเป็นอย่างยิ่ง)ก็คงหวังผลในการ “ส่งเสริม” หรือแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ยาก
ข้อคิดเห็นที่สำคัญยิ่งในเรื่อง “การใช้ภาษาไทย” ที่ว่ามาคือ “พระราชดำรัส” ตอนหนึ่งใน “การประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทยแห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505 ดังความตอนหนึ่งที่ว่า
“เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านการรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บรืสุทธิ์ในการออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือปัญหาความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้…ในด้านบัญญัติศัพท์หรือคำใหม่ก็เป็นทางหนึ่งที่อันตรายมากเหมือนกัน…สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นทางวิชาการไม่ใช่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ…ควรจะใช้คำเก่าๆที่เรามีอยู่แล้ว…”
พระราชดำรัสที่ยกมาให้อ่านให้เห็นกันอย่างจะๆนี้ นอกจากจะเพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ในเรื่องที่ทรงตระหนักถึงความสำคัญของ “วัฒนธนธรรมด้านภาษาอย่างลึกซึ้งแล้ว
ก็ยังเพื่อมุ่งหวังที่จะสะท้อนถึงความไร้สำนึกของชนชั้นนำระดับสูงทางสังคมบางคนในปัจจุบัน ที่ไม่เคยจะใส่ใจศึกษาเรียนรู้ในเรื่องดังกล่าวนี้ เพื่อจะได้รับใส่เกล้า น้อมนำเอาพระราชดำรัสที่สำคัญยิ่งนี้ไปยึดถือปฏิบัติปรับปรุงตนเอง เพื่อให้เป็นต้นแบบของสังคม ให้เหมาะสมกับที่ประชาชน มอบความเป็น “ผู้นำ” ที่กุมอำนาจในเรื่องความเป็นชาติ ความรุ่งเรืองของชาติ หรือความพิบัติของชาติ ไว้ในอุ้งมือ!
มาจะชี้ตัวอย่างข้อพร่องอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้ของ “ท่านผู้นำ” คนนี้ให้ดูอย่างชัดๆสักเรื่องสักกรณี เดี๋ยวจะหาว่าไปใส่ความท่านโดยไม่มีหลักฐานอีก!!