เปิดเทอมใหม่ผ่านไปพักใหญ่แล้ว เป็นโอกาสดีที่เราจะหันกลับมาทบทวนเรื่องสำคัญอย่าง “การลงโทษนักเรียนในโรงเรียน” ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่สังคมจับตา โดยเฉพาะในยุคที่สื่อออนไลน์แพร่หลาย การลงโทษในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่เด็ก ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือคลิปที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย โทรทัศน์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์
แม้การลงโทษจะมีจุดประสงค์เพื่ออบรมสั่งสอนให้เด็กตระหนักถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่ในยุคปัจจุบัน การกระทำเช่นนี้ต้องอยู่ภายใต้กรอบของ “สิทธิมนุษยชน” และ “จรรยาบรรณวิชาชีพครู” ที่สำคัญคือ ต้องไม่ละเมิด “สิทธิเด็ก” ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
จากสุภาษิตดั้งเดิม สู่สังคมที่เปลี่ยนไป
คำกล่าว “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เป็นสุภาษิตไทยที่หลายคนคุ้นเคย สื่อถึงการอบรมลูกหลานผ่านการลงโทษ อย่างไรก็ตาม สังคมในปัจจุบันเปลี่ยนไป ความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและผลกระทบทางจิตใจก็เปลี่ยนตาม การใช้ความรุนแรงหรือการทำให้เด็กอับอายจึงไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมอีกต่อไป
กฎหมายกำหนดแนวทางชัดเจน
ประเทศไทยได้ออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการลงโทษนักเรียนอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ได้แก่:
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548
กฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548
กฎกระทรวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
โดยทั้งหมดอ้างอิงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 6 และ 65 ซึ่งกำหนดว่า “เด็ก” หมายถึง บุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี และ “นักเรียน” หมายถึง เด็กที่กำลังศึกษาระดับประถม มัธยม ทั้งสามัญและอาชีวศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน
การลงโทษที่ถูกต้องตามกฎหมาย
รูปแบบการลงโทษที่ได้รับอนุญาตตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการมีเพียง 4 วิธีเท่านั้น ได้แก่:
ว่ากล่าวตักเตือน
ทำทัณฑ์บน
ตัดคะแนนความประพฤติ
จัดกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ห้ามโดยเด็ดขาด การใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมถึงการกระทำที่ทำให้เด็กอับอาย เช่น การตัดผมนักเรียนต่อหน้าชั้นเรียน หรือประจานผ่านสื่อ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายคุ้มครองเด็ก
บทบาทครูและผู้ปกครอง ต้องเดินร่วมกัน
ครูจำเป็นต้องพิจารณาถึงวัย ความเหมาะสม และสภาพแวดล้อมของเด็ก ใช้วิธีที่ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่สร้างบาดแผลในใจ เพราะบทลงโทษที่ดี ควรนำไปสู่การพัฒนา มิใช่การทำลาย
ในขณะเดียวกัน ผู้ปกครองก็มีหน้าที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าครู การอบรมสั่งสอนไม่ควรเป็นภาระของครูเพียงลำพัง แต่ควรเป็นความร่วมมือระหว่างบ้านกับโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนที่เติบโตอย่างมั่นคงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจริยธรรม