กลายเป็นเรื่องร้อน ขึ้นมาทันควัน แม้ภายหลังจาก รัฐบาลไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการครั้งแรก จากกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.68
แต่กลับกลายเป็นว่า ท่าที ของรัฐบาลไทย กลับถูกตั้งคำถามจากผู้คนในสังคม ทั้งนักการเมือง นักวิชาการด้านความมั่นคง รวมทั้งประชาชนในท่วงทำนองที่ยังไม่พอใจ และที่สำคัญยังไม่เชื่อมั่นว่า รัฐบาล จะผ่านปัญหาข้อพิพาทในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาไปได้อย่างไร
โดยในแถลงการณ์จากรัฐบาลไทยย้ำว่าทั้งไทยและกัมพูชาได้หารือกันอย่างใกล้ชิดในทุกระดับ นับตั้งแต่เกิดเรื่อง
ผลจากการพูดคุยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้น คือกลไก JBC ตามที่ ผู้บัญชาการทหารบก ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา บางส่วนบางตอนจากแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย
แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในพื้นที่จริง ชายแดนไทย-กัมพูชากลับไม่ได้อยู่ในความสงบนิ่ง กลับมีความเคลื่อนไหวที่ทำให้ประชาชนทั้งในพื้นที่ ตลอดจนส่วนกลางมีความกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ พล.อ.ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งสัญญาณชัดว่าจะยื่นเรื่องให้ไปถึง ศาลโลก หมายความว่า กัมพูชาเปิดเกมนำหน้าฝ่ายไทย ไม่สนใจท่าทีจาก รัฐบาลไทย ทั้งที่มี แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ซึ่งเป็น ลูกสาว ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยต่างมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ระหว่างสองครอบครัว คือ ชินวัตร กับ สมเด็จฮุนเซน ผู้นำตัวจริงของกัมพูชา
นอกจากแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย จะถูกนำมาชำแหละจากนักวิชาการด้านความมั่นคง ชนิดบรรทัดต่อบรรทัดด้วยความคลางแคลงใจแล้ว ยังกลายเป็นว่า ณ เวลานี้ เสียงจาก กองทัพภาคที่2 ตลอดจนกองทัพ ต่างมีน้ำหนักเหนือกว่า ฝ่ายการเมือง อย่างเห็นได้ชัด
สถานการณ์แนวรบชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่เพียงแต่จะผูกเอาไว้ด้วย ความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล ที่น้อยลงแล้ว ในขณะเดียวกันยังถูกเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ของสองตระกูล ในฐานะ มหามิตร ทั้งทักษิณ กับสมเด็จฮุนเซน
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ยังไม่เห็นว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่ทักษิณ พยายามอ้างว่า ยกหูคุยกันกับสมเด็จฮุนเซน ได้นั้นจะ ยังประโยชน์ แก้วิกฤตให้กับแนวรบชายแดนไทย-กัมพูชาได้อย่างไร และทำได้หรือไม่ เพราะเวลานี้ ทั้งสมเด็จฮุนเซน และพล.อ.ฮุน มาแนต กำลังเล่นเกมที่รุดหน้าและมองข้ามทักษิณ ไปไกลลิบแล้ว