สถาพร ศรีสัจจัง
มีเสียงสะท้อนหลายด้านหลายมิติก้องดังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่า บัดนี้วาระ"ไทยพิบัติ"ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว!(ย้ำคำว่า “อย่างแท้จริง”)
หลายฝ่าย(ทั้งนักวิชาการสังคมศาสตร์ นักการเมืองผู้คร่ำหวอด นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ฯ จนถึง “หมอดู”!)พิพากษาว่าวาระ “ไทยวิบัติอย่างแท้จริง” ที่ว่า น่าจะเริ่มต้นมาตั้งแต่การเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อมามอบตัวมาของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (สื่อสารมวลชนบางกลุ่มและคนบางพวกมักเรียกเขาว่า “นช.ทักษิณ” ซึ่งหมายถึง “นักโทษชายทักษิณ” ไม่ใช่ “ดร.ทักษิณ” ซึ่งหมายถึง “นายทักษิณที่เรียนจบปริญญาเอก”) ซึ่งหลบหนีคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของประเทศไทยตัดสินถึงที่สุดแล้ว ให้มีโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 8 ปี โดยที่เขาหลบหนีโทษดังกล่าวไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 15 ปี ขณะหลบหนีก็พบว่ามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองตลอดเวลา
เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสอดรับกับสถานการณ์การเมืองไทยที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดตั้งแต่มีการยึดอำนาจากสถาบันกษัตริย์เมื่อ พ.ศ.2475
ครั้งนั้นจะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติ อภิวัฒน์ หรือ ยึดอำนาจเพื่อการปกครองประชาชน จาก “ชนชั้นปกครอง” กลุ่มเก่ามาสู่ชนชั้นปกครองกลุ่มใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามแต่ใครซึ่งมีฐานการคิดทางการเมืองที่แตกต่างจะเรียกกัน
สามารถบอกได้เพียงว่าวุ่น แตกแยก และแย่งอำนาจกันมาตั้งแต่กลุ่มแรก(คณะราษฎร)จนถึง “กลุ่ม” ต่างๆในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพรรคการเมือง กลุ่มทหาร กลุ่มทุน หรือกลุ่มใดๆที่สามารถจัดตั้งรวมตัวกันขึ้นเพื่อขอเข้าไปมีส่วนในการร่วมแบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ “อำนาจรัฐ”
นับเวลาจาก 24 มิถุนายน 2475 จนถึงบัดนี้ (พ.ศ.2568) รวมแล้วก็เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 ปี หรือ 9 ทศวรรษเต็มๆ
แต่เวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร(ต่อไปจะเรียกเช่นนี้ เพราะหลักภาษาไทยบอกว่า คำ “ดร.” ไม่ใช่คำนำหน้านามหรือคำนำหน้าชื่อบุคคล เป็นเพียงวุฒิการศึกษาวุฒิหนึ่งเท่านั้น ส่วนยศ “พันตำรวจโท” นั้นถูกถอดพร้อมกับริบเครื่องราชฯไปนานแล้ว) กลับสู่ประเทศไทย(จากการหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศกว่า 15 ปี) มามอบตัวเพื่อรับโทษจำคุก(คดีรวม 8 ปี) ที่หลายใครหลายฝ่ายระบุว่าเป็นจุดเริ่ม “ไทยวิบัติ” อย่างแท้จริงนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
คือเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ 2566 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐสภาไทย(ขณะนั้น)ลงมติด้วยเสียงท่วมท้น เลือกนายเศรษฐา ทวีสิน(ที่เคยมีข่าวฉาวที่เรียกกันว่า “กรณี “ภารกิจลับ ว.5” โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ชั้น 7” กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนสวยของ นายทักษิณฯ อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากตระกูล “ชินวัตร” อีกคนหนึ่ง ที่ตอนนี้ยังหลบหนีคดี “จำนำข้าว” อยู่ต่างประเทศ) จาก “พรรคเพื่อไทย”
“พรรคเพื่อไทย” ซึ่งคนทั้งโลกที่สนใจการเมืองล้วนรู้กันในทำนอง “สิ่งที่เห็นจริงแล้ว” ว่า เป็นพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นพรรค"ไทยรักไทย" ที่เคยชนะแบบถล่มทลายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปครั้งที่ 21 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 โดยได้ที่นั่งในรัฐสภาถึง 377 ที่นั่งโน่นแล้ว!
คิดเวลาแบบหยาบๆจากเดือนสิงหาคม 2566 ถึงปัจจุบันคือ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 กินเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปีเต็ม!
ทำไม “ไทยพิบัติอย่างแท้จริง” จึงมาถึงเร็วแท้!
เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ท่ามกลางปัญหาสารพัดของประเทศ ทั้งปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองนั้นต้องถือว่า “หนักหนาสากรรจ์” เอาทีเดียว เนื่องเพราะ พรรคเพื่อไทยที่เขาเป็น “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้เป็นพรรคที่ได้รับที่นั่งในสภาฯมากที่สุด แต่พรรคที่ได้มากที่สุดคือ “พรรคก้าวไกล” (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค)ซึ่งสืบอุดมการณ์ต่อเนื่องมาจาก “พรรคอนาคตใหม่” (นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้าพรรค)ที่ถูกยุบ พรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงแรก
แต่ ณ วันนั้น นักการเมืองระดับ “ซือแป๋” อย่างทักษิณ ชินวัตร “พลังทางจิตวิญญาณ” ของพรรคเพื่อไทยกลับมาแล้ว!
เมื่อพรรคก้าวไกลที่ชนะที่ 1 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคเพื่อไทยที่ได้มากเป็นลำดับ 2 จึงเสียบ ตัวเองเข้าเป็น “แกน” ในการจัดตั้งรัฐบาลแบบ “ข้ามขั้ว” ทันที!
รัฐบาลผสมแบบข้ามขั้วที่มีพรรคอุดมการณ์หลากหลายเข้ามาหลอมรวม ทั้งจากเสรีนิยมเข้ม เสรีนิยมกลาง(อ้างตัวกับมวลชนเช่นนั้น) ทั้งคอนเซอร์เวทีฟแบบสุดๆ จนถึงคอนเซอร์เวทีฟเพื่อเอาตัวรอด รวมถึงพรรคเล็กพรรคน้อยสัมภเวสี เมื่อมารวมกัน ก็ย่อมต้องมีปัญหามากมายเชิงผลประโยชน์ไม่น้อยอยู่แล้ว!
ปัญหาความขัดแย้งมากมายทั้งภายในภายนอกที่สุมมานานและที่เป็น “บาปเก่า” ของพรรคแกนนำอย่างเพื่อไทย ประกอบกับ “ผู้นำจิตวิญญาณพรรค” ที่สร้างปาฏิหาริย์จากโทษ 8 ปี เหลือ 1 ปี และถูกส่งเข้าเขตราชทัณฑ์ได้ไม่กี่ชั่วโมง (ฟังว่ามีเหตุสารพัดที่ทำให้ไม่ต้องสวมชุดนักโทษ ไม่ถูกกร้อนผม ไม่ต้องปฏิบัติการกินนอนเหมือนนักโทษทั่วไป ฯลฯ)ก็ถูกส่งตัวให้ไปนอนห้องสูทพิเศษที่โรงพยาบาลตำรวจทันที!
และ(ออกข่าวว่า)นอนอยู่ที่นั่นจนได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งในวันเฉลิมพระชนมพรรษา(พร้อมผู้ต้องโทษคนอื่นไม่ใช่เป็นกรณีพิเศษเหมือนครั้งแรก) ได้นั่งรถสวมปลอกคอเข้าสู่ “คฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า” อย่างสง่างาม!
แล้วมิตรรักสหายแท้ หุ้นส่วนการเมืองเก่าแก่คนสำคัญจากกรุงกัมโพชผู้ยิ่งใหญ่ นาม
“จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน” แห่ง “เขมร” ผู้นั้น ก็กระดี้กระด๊ามาเยี่ยมชมอาการถึงบ้านจันทร์ส่องหล้าด้วยความห่วงใยยิ่งเป็นรายแรกๆแบบน่าชื่นใจ!!