ทวี สุรฤทธิกุล

ทุกวันนี้อ่านข่าวทั้งในสื่อหลักและสื่อโซเชียล เหมือนกำลังติดตามสงครามต่าง ๆ จนดูเหมือนว่าวัตถุประสงค์ของการทำข่าวคือการทำสงคราม

คนเสพติดสื่ออย่างผู้เขียนคงมีความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่า ข่าวต่าง ๆ มักจะเริ่มจาก “แผลเล็ก ๆ” ที่ถูกขยายออกโดยผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง จนแผลนั้น “ฉีกกว้างเหวอะหวะ”

ข่าวสงครามรัสเซียกับยูเครนที่เริ่มขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน ความจริงก็เป็นเรื่องของการกระทบกระทั่งของชาติที่มีดินแดนติดกัน และยิ่งไปกว่านั้นก็เคยมีประวัติศาสตร์ร่วมกันในฐานะที่ยูเครนก็เคยถูกรัสเซียผนวกเป็นประเทศเดียวกันมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่พอจักรวรรดิรัสเซียล่มสลายหลังสงครามครามเย็นสิ้นสุดลงเมื่อทศวรรษปี 1990 ยูเครนก็แยกออกมา บังเอิญนาโตเข้ามาโอบอุ้มยูเครน จนมีแนวโน้มว่าจะให้ยูเครนเป็นสมาชิกของนาโตต่อไป รัสเซียก็เลยทำสงคราม “สั่งสอน” ยูเครนเสียเมื่อต้นปี 2565

ประเทศในสหภาพยุโรปและกลุ่มนาโตที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวเรือใหญ่จึงถือโอกาสเข้ามาช่วยยูเครน แต่ก็ด้วยความระมัดระวัง แบบแบ่งรับแบ่งสู้ และส่งอาวุธเข้าไปช่วยเหลืออย่างกระเบียดกระเสียร โดยยังไม่ได้ส่งกองทัพและทหารเข้าไปสู้รบร่วมด้วยแต่อย่างใด แต่นั่นก็ทำให้สื่อต่าง ๆ ฮือฮา เร่งระดมผลิตข่าวกันอย่างเมามัน โดยมีประเด็นข่าวมุ่งไปในแนวเดียวกัน ... มันต้องตายมากกว่านี้ ... ต้องรบกันรุนแรงมากกว่านี้  โดยมีการเติมสีสันหรือบรรยากาศให้น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ

สัปดาห์ผ่านไป เป็นเดือน เป็นปี และหลายปีมาถึงปีนี้ คนที่มีความสุขที่สุดน่าจะเป็นนายเซเลนสกี้ ประธานาธิบดีของยูเครน ที่ได้ออกสื่อแทบจะไม่เว้นวัน และได้โชว์เสื้อคอกลมสีเข้มอวดชาวโลกตลอดเวลา แม้แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ยังออกมาตำหนิเรื่องการแต่งกายตามสบายแบบนั้น และทรัมป์ก็คงจะเบื่อเรื่องสงครามรัสเซียยูเครนนี้เหมือนกับคนที่ติดตามข่าวนี้คนอื่น ๆ จึงได้ออกมาพูดตรง ๆ ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องสงครามระหว่างสองประเทศนี้แล้ว ล่าสุดก็คือถ้าจะมีการเจรจาใด ๆ ระหว่างสองประเทศนี้ สหรัฐอเมริกาก็จะไม่เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ โดยที่ทรัมป์ก็เชื่อว่าสงครามระหว่างสองประเทศนี้คงจะไม่จบลงในเร็ววัน เหมือนกับว่าทั้งสองประเทศนี้ต้องการสร้างความสนใจให้กับชาวโลกด้วยการทำให้มีการกระทบกระทั่งกัน เบาบ้าง หนักบ้าง ตามที่เคยทำมานั้นไปเรื่อย ๆ

ก่อนที่จะเขียนบทความนี้ ผู้เขียนได้เข้าไปอ่านในวิกีพีเดีย พบว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557  คือเมื่อ 11 ปีก่อนนั้นแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครตื่นเต้นตกใจเพราะยังไม่มีสื่อไปทำข่าวแบบ “ระดมสรรพกำลัง” เหมือนในยุคนี้ และรวมถึงที่ยังไม่มีผู้นำบ้า ๆ บอ ๆ แบบนายเซเลนสกี้ แต่พอสามสี่ปีที่ผ่านมานี้โซเชียลมีเดียเริ่มมีบทบาทในการ “สร้างข่าว” ให้รุนแรงมากขึ้น พวกผู้นำชาติอื่น ๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา รวมถึงนายวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็กระโจนเข้าร่วม “รับแสง” ที่สื่อต่าง ๆ ฉายส่องมานั้นด้วย ก็เลยยิ่งทำให้ข่าวสงครามที่แท้จริงเหมือนกับญาติพี่น้องทะเลาะกัน ได้กลายเป็น “ศึกแห่งศตวรรษ” เหมือนว่าจะเกิดสงครามโลกนั้นขึ้นได้ทุกวินาที

ในทำนองเดียวกัน อีกสงครามหนึ่งที่เต็มไปด้วยความน่าเบื่อก็คือสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์ ที่เกิดมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 โดยเริ่มจากกลุ่มโจรก่อการร้าย “ฮามาส” ที่มีชาติปาเลสไตน์หนุนหลัง ได้เข้าสังหารผู้คนที่มาชมการแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่ชายแดนของอิสราเอล มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 1,200 คน และถูกจับไปเป็นตัวประกัน 251 คน โดยกวาดต้อนเข้าไปหลบซ่อนในรัฐปาเลสไตน์ ดังนั้นอิสราเอลจึงเข้าโจมตีรัฐปาเลสไตน์อย่างหนัก จนกลุ่มฮามาสยอมเจรจาและปล่อยตัวประกันออกมาเป็นระยะ จนเหลือตัวประกันเพียงไม่กี่คนในเวลานี้ โดยที่อิสราเอลก็ยังโจมตีสถานที่ต่าง ๆ ในปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากชาติ ๆ อื่นทั่วโลก จนเชื่อกันว่าอิสราเอลอาจจะต้องการยึดดินแดนนั้นเข้าผนวกกับอิสราเอลต่อไป หรือไม่ก็ไม่ต้องการให้มีรัฐปาเลสไตน์คงอยู่บนแผนที่ของโลกใบนี้

เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปเปิดดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เกิดขึ้นอย่างยาวนานมากว่า 70 ปีแล้ว ตั้งแต่ที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงไปได้ไม่กี่ปี  บางช่วงนั้นก็มีการสู้รบและทำลายกันรุนแรง บรรยากาศไม่แตกต่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่าใดนัก จนบางครั้งก็ตกใจว่าอาจจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์และกลายเป็นสงครามล้างโลก แต่สงครามนี้ก็ยังมีอยู่และมีทีท่าว่าจะมีอยู่ไปอีกนานหรือตลอดไป

มีคนมองการทำสงครามในโลกสมัยใหม่นี้ว่า ประการหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องบาดหมางกันมาตั้งแต่อดีต ประการต่อมาเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีหรือการไม่ยอมกันและกัน อีกประการนั้นอาจจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจและเศรษฐกิจของชาติมหาอำนาจหรือผู้ค้าอาวุธที่เป็นผู้สนับสนุนผู้มีอำนาจทางการเมือง และประการสุดท้ายก็คือในโลกของการสื่อสารสมัยใหม่ ที่ทำสงคราม “โชว์ออฟ” แข่งความเก่งกล้าสามารถระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมถึง “การทำสงครามระหว่างสื่อต่าง ๆ” นั้นด้วย

ล่าสุดก็เกิดเรื่องการกระทบกระทั่งกันของทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่ชายแดนจังหวัดสุรินทร์ โดยที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพของทั้งสองประเทศได้ออกมาพูดไปในทางเดียวกันว่า เป็นอุบัติเหตุที่เกิดการประทะนั้นขึ้น อย่างไรก็ตามฝ่ายกัมพูชาก็มีทหารเสียชีวิต 1 นาย สื่อบางสื่อโดยเฉพาะโซเชียลมีเดียก็เลยเสนอไปในแนวที่ว่าเหตุการณ์อาจจะลุกลามบานปลาย ซึ่งฝ่ายทหารของไทยก็ได้ออกมาตักเตือนสื่อเหล่านั้นให้ระมัดระวังในการนำเสนอข่าว ในขณะเดียวกันก็มีการเสนอข่าว(จากสื่อโซเชียลในฝ่ายไทยที่สื่อหลักจำพวกทีวีและสำนักข่าวทั้งหลายก็ยังนำมาเป็นข่าว)เพิ่มเติมอีกว่า ผู้นำของกัมพูชาไม่พอใจและอาจจะมีการ “เอาคืน”

ระหว่างนี้ในสภาก็มีการอภิปรายงบประมาณรายจ่ายของปี 2569 ก่อนหน้านี้สื่อต่าง ๆ ก็เสนอข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคอาจจะโหวตไม่รับงบประมาณนี้ และอาจจะทำให้รัฐบาลมีอันเป็นไป โดยที่นายกรัฐมนตรีออาจจะประกาศยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ดูบรรยากาศในสภาแล้วก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ที่สำคัญก็ดูไม่มีความรุนแรงอะไร แม้แต่ฝ่ายค้านก็พยายามจะแสดงท่าทางการอภิปรายให้ดุเดือด ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนนอกสภาก็มีเรื่องนักป่วยทิพย์ชั้น 14 ที่คนที่เป็นตัวการไม่ได้รู้สึกยี่หระหวาดหวั่นอะไร ยิ่งมีลิ่วล้อ “กะป้อกะปุก” มาช่วยอุ้มช่วยสม ก็ดูเหมือนจะยิ่งได้ใจ

สงครามจริงสมัยนี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรเท่าใด จะมีก็แต่เพียงสงครามข่าวที่ดูน่ากลัวมากขึ้นทุกวัน ๆ