วันที่ 2 มิถุนายนของทุกปี อาจฟังดูเหมือนวันธรรมดา แต่สำหรับคนไทยแล้ว นี่คือวันที่น่าภูมิใจไม่แพ้วันใดในปฏิทิน เพราะเป็น “วันส้มตำสากล (International Somtum Day)” วันที่ อาหารพื้นถิ่นของไทย ได้รับการยอมรับในระดับโลก

เบื้องหลังความแซ่บของ “ส้มตำ” ไม่ได้มีแค่เรื่องรสชาติ แต่ยังซ่อนโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจ ทั้งในมิติ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การค้า และ Soft Power ที่กำลังกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังของประเทศไทยในเวทีโลก

ย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2559 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารไทย ได้ผลักดันให้ส้มตำก้าวออกจากครัวบ้าน ๆ ขึ้นเวทีสากล ด้วยการเสนอให้ องค์การสหประชาชาติ (UNESCO) ขึ้นทะเบียน “ส้มตำ” เป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ของไทย

และในปี พ.ศ. 2561 ความพยายามดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จอย่างเป็นทางการ กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อาหารจานนี้ไม่ได้มีแค่คนไทยที่รัก แต่คนทั่วโลกเริ่มรู้จัก และมองเห็นคุณค่าของมัน

ส้มตำในฐานะอาหารพื้นถิ่น กลายเป็น Soft Power ไทย ที่สามารถสร้างรายได้และความภาคภูมิใจได้พร้อมกัน

3 เหตุผลที่ส้มตำเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโดยตรง:

1. เพิ่มมูลค่าอาหารไทยในต่างประเทศ

ส้มตำกลายเป็นจานแนะนำในร้านอาหารไทยทั่วโลก ราคาต้นทุนไม่สูง แต่ขายได้ในระดับพรีเมียมในต่างประเทศ ยิ่งทำให้ “ธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างแดน” เติบโต พร้อมกระจายรายได้กลับสู่ประเทศไทย

2. ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

กิจกรรม “เทศกาลส้มตำ” และ “การประกวดตำส้มตำ” ที่จัดขึ้นในหลายจังหวัด ไม่เพียงแค่กระตุ้นให้คนท้องถิ่นมีรายได้ แต่ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศให้เข้ามาสัมผัสวิถีชีวิต วัตถุดิบพื้นถิ่น และเสน่ห์ท้องถิ่นที่เงินซื้อไม่ได้

3. เสริมภาพลักษณ์ไทยในเวทีโลก

ในยุคที่การแข่งขันไม่ใช่แค่ “ผลิต” แต่คือ “สร้างตัวตน” ประเทศไทยกำลังใช้วัฒนธรรมอาหารเป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์ของชาติ ซึ่งส้มตำก็ติดอันดับต้น ๆ ที่ต่างชาติจำได้และอยากลิ้มลอง

ในวันที่เศรษฐกิจไทยกำลังมองหาทางออกจากภาวะซบเซา “ส้มตำ” อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่อันที่จริงแล้ว นี่คือโอกาสของการสร้าง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่อิงจากวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงมีมูลค่าเพิ่ม แต่ยังยั่งยืนและเป็นตัวตนของไทยโดยแท้