สถาพร ศรีสัจจัง

จากข้อค้นพบที่ว่า “ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าเกินไปกว่าคุณภาพประชากรไม่ได้ และคุณภาพของประชากรมีวัฒนธรรมพื้นบ้านเป็นตัวกำหนดอยู่เบื้องหลัง” ทำให้ศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์

ได้ข้อสรุปเป็นวาทกรรมสำคัญชุดหนึ่งว่า “กุศลปรุงแต่กรรม วัฒนธรรมปรุงแต่งคน”

ในหนังสือ “ทฤษฎีการวิจัยทางสังคมศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์” ตำราที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “นวัตกรรมทางวิชาการเชิงสร้างสรรค์”เล่มสำคัญที่สุดของท่านเล่มหนึ่ง อาจารย์สุธิวงศ์สรุปเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวาทกรรม“กุศลปรุงแต่งกรรม วัฒนธรรมปรุงแต่งคน”ไว้ตอนหนึ่งว่า

"การที่แต่ละคน(ในสังคมผู้เขียน) มีองคาพยพและบุคลิกภาพแตกต่างกันไปนั้น บางอย่างรู้ชัดว่าเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร บางอย่างยากที่จะรู้ถึงเหตุปัจจัย  จึงสรุปเอาว่าเป็นไปตามบาปและบุญ  รวมเรียกง่ายๆว่าตาม “กรรม”  ทฤษฎีทางพระพุทธศาสนาศรัทธาว่า “กุศลปรุงแต่งกรรม”  คดีโลกตามทฤษฎีของสถาบันทักษิณคดีศึกษาศรัทธาว่า “วัฒนธรรมปรุงแต่คน”

และอธิบายต่อไปอีกว่า

“วิธีการที่จะให้ได้กุศลปรุงแต่งกรรมนั้น พระพุทธศาสนาให้หมั่นประกอบกุศลธรรม(กุสลธัมมานุโยค) และที่สำคัญยิ่ง คือ การใช้ความคิดที่ถูกวิธี(โยนิโสมนสิการ)”

และว่า

ฝ่ายคดีโลกที่ว่า “วัฒนธรรมปรุงแต่งคนนั้น'นั้น เนื่องจากวัฒนธรรมเป็นมรดกของสังคม ล้วนแต่ตกผลึกมาจากวิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละกลุ่มชน แล้วนอนเนื่องอยู่ในสังคมนั้นๆอย่างยาวนาน จนกลายเป็นเสมือนเนื้อหนังมังสา เป็นสายตา เป็นมันสมอง เป็นภูษาภรณ์ และ เป็นพลังของสังคม จึงหล่อหลอมให้คนรุ่นต่อๆมาค่อยซึมซับฝังแน่นสู่จิตใจ จนวิธีคิดและพฤติกรรมร่วมเป็นไปตามแม่แบบ และมักเกาะติดกันอย่างเหนียวแน่นเกิดเป็น “สันดาน” ตรงกับภาษาถิ่นใต้เรียกว่า'ตาหนา'(จากภาษาบาลี สัง+ตาน) ภาษามลายูว่า “tanda” หมายถึง นิสัย, สันดาน,เครื่องหมาย,นิมิตบ่งชี้,รอยตำหนิ แบบอย่าง รวมหมายถึง ปรากฏการณ์อันเนื่องมาแต่กรรมเก่าในส่วนที่เป็นมรดกทางสังคม ก็คือ วัฒนธรรมซึ่งเป็นไปตามคดีโลกด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า “วัฒนธรรมปรุงแต่งคน”

ส่วนเรื่องเกี่ยวกับ “กรรม” นั้น อาจารย์สุธิวงศ์อธิบายไว้ดังนี้

“หลักพระพุทธศาสนาแบ่งวิบากกรรมออกเป็น 2 ฝ่าย คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ผู้ใดประกอบกรรมฝ่ายกุศล คือบุญ เป็นเครื่องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากอาสวกิเลส หมั่นสะสมบุญ บำเพ็ญบุญบารมีเป็นกรรม ก็จะได้วิบากให้ถึง “กุศล” อันนี้คือ “กุศลปรุงแต่งกรรม”…”

กล่าวโดยสรุป อาจารย์สุธิวงศ์ระบุบอกหลักการไว้อย่างชัดเจนว่า “ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ ศรัทธาว่า  “ความเป็นคน” มีวัฒนธรรมเป็นตัวหล่อหลอมปรุงแต่ง”

แล้วจึงสรุปต่อไปอีกว่า

“กล่าวโดยสรุปก็คือ ถ้าการศึกษาวิจัยทางสังคมศาสตร์อันใด ยังไม่เห็นวัฒนธรรมของกลุ่มชน

ในกลุ่มเป้าหมาย ก็ไม่อาจ “เห็นคนอย่างจะแจ้ง” การวิจัยทางสังคมศาสตร์จึงต้องเน้นการศึกษา “ผู้คนและวัฒนธรรม” ของกลุ่มเป้าหมายเป็นพิเศษ”

ทั้งยังกล่าวถึงความสำคัญของ “ความต่าง” ทางวัฒนธรรมไว้ว่า

“ความต่าง คือความหลากหลาย คือความพิสดาร เป็นความเข้มแข็งและความงามของผู้คนและชุมชน”

และว่า

“…ความแตกต่างด้านทรัพยากรธรรมชาติย่อมนำไปสู่ความหลากหลายทางภูมิปัญญา เกิดเป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรม และผลที่สุดจะก่อให้เกิดความหลากหลายของทางเลือก ด้วยเหตุนี้ ถ้าชุมชนใดมีความแตกต่างทางโครงสร้างด้าน ชาติพันธุ์ ภาษา ความเชื่อ ศาสนา สังคมนั้นก็จะร่ำรวยด้วยวิถีและพลังของสังคม ความแตกต่างจึงไม่ใช่สัญญาณของความขัดแย้งหรือการแบ่งแยก”

การให้ความสำคัญต่อสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” (โดยเฉพาะวัฒนธรรมพื้นบ้าน)ของศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ นอกจากจะก่อให้เกิดผลงานที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมของท่าน อย่างเช่น สถาบันทักษิณคดีศึกษาที่เกาะยอ เมืองสงขลา พจนานุกรมภาษาถิ่นภาคใต้ สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ รวมถึง ตำรา บทความ และงานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องราวอันหลากของวัฒนธรรมภาคใต้อย่างมากมายมหาศาลแล้ว

สิ่งที่น่าจะสำคัญที่สุดซึ่งท่านผู้นี้ได้ฝากเป็น “มรดก” ไว้ให้กับสังคมไทยโดยรวมก็คือ “วาทกรรม” อย่างน้อย 2 วาทกรรมสำคัญที่กล่าวมา

นั่นคือวาทกรรมที่ว่า “วัฒนธรรมกำหนดคุณภาพประชากร” และอีกวาทกรรม คือ “กุศลปรุงแต่งกรรม วัฒนธรรมปรุงแต่งคน”

หากหน่วยงานหรือบุคคลผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบ้านเมืองไทย จะได้นำวาทกรรมทั้ง2 ชุดดังกล่าวนี้ไปพิจารณาใคร่ครวญ เพื่อตีความให้เข้าใจลึกซึ้ง แล้วแปรผลให้เกิดผลเป็นนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะสามารถยกระดับคุณภาพสังคมได้ก้าวไกลไปกว่านี้อีกมาก!

ขอเพียงแต่ว่า ขอให้ท่านผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นเปิดใจให้กว้าง เรียนรู้ให้มาก

และลึกซึ้งขึ้นว่าแล้วอะไรกันบ้างเล่า?คือสิ่งที่ท่านศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์เรียกว่า “วัฒนธรรม”

โดยเฉพาะวัฒธรรมพื้นบ้าน วัฒนธรรมไทย รวมถึงวัฒนธรรมอื่นๆจากที่ใดก็ตามที่สอดคล้องและเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงกับการพัฒนาสังคมไทย!

รีบไตร่ตรองกันให้จงดีเถิด ก่อนที่สังคมไทยจะกลายเป็น “สังคมรากขาด” หนักหนาสากรรจ์ไปยิ่งกว่านี้

ซึ่งนั่นย่อมจะหมายความว่าสังคมไทยก็จะกลายเป็น “สังคม-หรือ รัฐที่ล้มเหลว” อย่างที่หลายคนและหลายฝ่ายกำลังพยากรณ์เชิงปรามาสกันอยู่อย่างแท้จริง!!