ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง และแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ได้ประกาศเลื่อนโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทอย่างไม่มีกำหนด ทั้งที่เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงที่เคยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในช่วงก่อนหน้านี้
การตัดสินใจครั้งนี้นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งออกมายอมรับว่า โครงการดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการได้ในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงในทางที่เอื้ออำนวย รัฐบาลก็พร้อมจะหยิบโครงการนี้ขึ้นมาทบทวนอีกครั้งในอนาคต
ด้วยข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและการคลัง คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงมีมติให้ปรับเปลี่ยนแผนการใช้งบกลางประจำปี 2568 วงเงินกว่า 157,000 ล้านบาท โดยเน้นไปที่โครงการที่มีผลกระทบเชิงโครงสร้างและยั่งยืนมากขึ้น เช่น
โครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือกับภัยแล้งและน้ำท่วม
การพัฒนาและปรับปรุงระบบคมนาคมขนส่ง
การยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว เช่น ห้องน้ำสาธารณะ
มาตรการด้านการศึกษาสำหรับเยาวชน
การทบทวนงบประมาณของโครงการกองทุนหมู่บ้าน (SML)
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าแผนสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โดยเฉพาะในกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่อยู่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรม เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน และลดผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ซึ่งคาดว่าจะยังสามารถขยายตัวได้ในช่วงสั้นที่ระดับร้อยละ 0.7–1
การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวได้รับการจับตามองจากฝ่ายค้านอย่างใกล้ชิด โดยหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า การปรับเปลี่ยนงบประมาณในครั้งนี้อาจนำไปสู่ปัญหาการใช้งบอย่างไม่มีประสิทธิภาพซ้ำรอยเดิม พร้อมชี้ว่ายังมีงบกลางเหลืออยู่อีกกว่า 66,000 ล้านบาท ซึ่งควรนำมาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนและไม่แน่นอน
ขณะที่ประเด็นข้อกฎหมายและความชอบธรรมทางการเมืองเกี่ยวกับการเลื่อนหรือยุติโครงการวอลเล็ตก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียง โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า "ยังไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำ เพียงแค่ต้องชะลอ"
การเลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแบบไม่มีกำหนด แม้จะด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจแต่ผลสะท้อนย่อมสะเทือนต่อภาพลักษณ์ทางการเมืองและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอย่างปฏิเสธไม่ได้ จึงน่าสนใจว่ารัฐบาลจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ในขณะที่เชื่อกันว่า การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่จะยิ่งไกลออกไปเช่นกัน