ทวี สุรฤทธิกุล
บ้านเราอ้างแต่ว่าความยุติธรรมต้องใจเย็น ๆ “ละเอียดอ่อน ไปตามขั้นตอน และต้องให้ความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันทุกฝ่าย”
มีคำพูดล้อเลียนคนที่เรียนกฎหมายว่า “พวกหัวสี่เหลี่ยม” มีความหมายว่าเป็นคนที่อยู่ในกรอบ ยึดมั่นในกติกา ไม่ยอมฟังความอะไรอื่นข้างนอก ยกเว้นแต่สิ่งที่ได้เรียนรู้มาคือกฎหมายต่าง ๆ เท่านั้น
นี่เองเราจึงได้เจอว่าการใช้กฎหมายของเราจึงไม่ค่อยยืดหยุ่น จนบางทีก็เชื่อไปว่าคงเป็นเพราะ “วัฒนธรรม” ของคนที่เรียนกฎหมาย ทำให้คนที่ไม่รู้กฎหมาย หรืออย่างผู้เขียนที่ได้รู้ได้เรียนมาบ้าง ก็ยังรู้สึกอึดอัด ที่เห็นกระบวนการของการใช้กฎหมายต้องมีขั้นตอนมากมาย ล่าช้า และทำให้ทุกข์ทรมานใจ ไม่ว่าจะในฐานะโจทย์ที่เป็นผู้ฟ้องร้อง หรือจำเลยที่เป็นผู้เสียหาย
คำตอบของพวกนักกฎหมายก็คือ “ความรอบคอบคือความยุติธรรม” การพิจารณาความผิดจึงต้องมีกระบวนการถึง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ดังนั้นเราจึงเห็นคดีความต่าง ๆ ที่กว่าจะเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาหลายปี หรือเป็นสิบ ๆ ปี และประเทศเห่ย ๆ บางประเทศก็ยังมีศาลอื่น ๆ ให้ฟ้องอย่างสลับซับซ้อน พอเสร็จจากศาลนี้แล้วก็ยังไม่เชื่อ ก็สามารถไปฟ้องในศาลอื่นให้มันวุ่นวาย สิ้นเปลือง และทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นความสุขของคนที่อยู่ในกระบวนการใช้กฎหมาย ซึ่งคนที่เบื่อหน่ายระบบแบบนี้บางทีเรียกคนเหล่านี้ว่า “พวกที่หากินกับกฎหมาย” แบบว่าถ้าคดีจบเร็วก็ปิดทางทำมาหากินเร็ว หรือคดีปิดช้าก็จะได้ดูว่ามีงานเยอะล้นมือและน่าเคารพนับถือ (อันหลังนี้เป็นภาพลักษณ์ของพวกที่อยู่ในชั้นสูง ๆ ของกระบวนการยุติธรรมที่ส่วนใหญ่ก็ชราภาพและคงกลัวต้องกลับบ้านไปเลี้ยงลูกหลาน จึงขอต่ออายุกันออกไปเป็นสิบ ๆ ปี)
มาฟังเรื่องของบางประเทศที่คนใช้กฎหมายเขากล้าออกจาก “กล่องสี่เหลี่ยม” ที่ผู้พิพากษาในประเทศของเขาได้ “ปรับกระบวนทัศน์” (กระบวนทัศน์นี้เป็นศัพท์วิชาการด้านปรัชญา แปลง่าย ๆ ว่า วิธีคิด หรือรูปแบบของการใช้ความคิด) โดยมองที่ “สังคมผู้รับเคราะห์” เป็นสำคัญ แล้วได้สร้าง “ปรากฏการณ์” ที่เปลี่ยนแปลงสังคมไปในทันที
ในปี ค.ศ. 1989 ที่เมืองเล็ก ๆ ในรัฐมินเนโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีคดีฟ้องร้องบริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่ง โดยหญิงสาวที่เป็นคนงานของบริษัทนั้น ในข้อหาที่ฟ้องบริษัทว่าปล่อยปละละเลยให้มีการล่วงละเมิดทางเพศ จากคนงานชายที่กระทำต่อหญิงสาวคนนี้กับคนงานหญิงอื่น ๆ อีกหลายคน
ทนายความของบริษัทพยามชี้คดีให้ลูกขุนและผู้พิพากษามองไปว่า หญิงสาวที่เป็นโจทย์นี้เป็น “คนไม่ดี” ไม่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติสำส่อน มีลูกก็ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ และมีปัญหาส่วนตัวกับคนงานชายบางคนที่เหมืองแร่ แต่ผู้พิพากษาก็ “คิดใหม่” โดยบอกกับหญิงสาวว่า อยากให้คดีนี้เป็นการฟ้อง “แบบกลุ่ม” โดยให้มีโจทย์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ซึ่งจะทำให้คดีนี้น่าเชื่อถือ (โดยมีการวิเคราะห์กันว่า เบื้องต้นศาลคงต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือของผู้ฟ้อง ที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องประวัติส่วนตัวในอดีต รวมถึงเจตนาเพื่อให้มีน้ำหนักที่จะเอาผิดกับบริษัท ที่การฟ้องเป็นกลุ่มจะมีพลังมากกว่าฟ้องเดี่ยว ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่า)
ตอนแรกก็ไม่มีคนงานหญิงคนอื่น ๆ มาช่วยเป็นโจทย์เพิ่ม แม้ว่าหญิงสาวที่ฟ้องได้ “บากหน้า” ไปขอร้องคนงานหญิงคนโน้นคนนี้ด้วยความยากลำบาก ทุกคนก็กลัวตกงาน และกลัวอิทธิพลของบริษัท ที่แย่มาก ๆ ก็คือพวกคนงานผู้ชายขู่ว่าถ้าไปร่วมฟ้องจะ “ล่วงละเมิด” ให้หนักมือยิ่งขึ้น เพราะไม่มีใครเอาผิดบริษัทนี้ได้ จนถึงวันที่ศาลนัดฟังคำตัดสินคดีของหญิงสาวคนเดียวคนนี้ ก็มีเพื่อนคนงานหญิงคนหนึ่ง เธอเป็นโรคร้ายแต่ก็นั่งรถเข็นมาจากโรงพยาบาลเพื่อขอเป็นโจทย์ร่วม เพียงเท่านั้นคนงานหญิงคนอื่น ๆ ที่มาฟังคดีในศาลก็ยกมือขอเป็นโจทย์ร่วมด้วยจนหมดทุกคน ที่สุดคดีนี้บริษัทก็แพ้ ต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนหนึ่งแก่หญิงสาวทุกคน ในข้อหาที่ปล่อยปละละเลยให้มีการล่วงละเมิดทางเพศในเหมืองแร่ของบริษัท ส่วนพวกผู้ชายที่ได้ทำการล่วงละเมิดคนงานหญิง ศาลก็ให้มีการฟ้องร้องเป็นคดีรายบุคคล เพื่อลงโทษคนงานชายเหล่านั้นต่อไป
เรื่องนี้ได้ถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือในปี 2002 ชื่อว่า Class Action : The Story of Lois Jenson and the Landmark Case That Changed Sexual Harassment Law และในปี 2005 ก็มาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ North Country นำแสดงโดย Charlize Theron เป็นหญิงสาวที่นำเรื่องการถูกล่วงละเมิดขึ้นฟ้องต่อศาล ซึ่งเมื่อคดีนี้จบลงก็ได้สร้างปรากฏการณ์ “พลิกโฉม” กระบวนการทางกฎหมาย ที่ผู้คนกล้ารวมตัวกันที่จะฟ้องร้องเอาผิดแก่องค์กรหรือบริษัทที่มีอิทธิพลทั้งหลาย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องสิทธิของผู้ทำงานในเรื่องที่ผู้หญิงต้อง “อดทน” และ “ทุกข์ทรมาน” จากการที่ถูกผู้ชายในที่ทำงานเอาเปรียบและล่วงละเมิดทางเพศ ไม่เฉพาะแต่ที่ถูกผู้บริหารกระทำ แต่รวมถึงคนทำงานในทุกระดับนั้นด้วย โดยในสหรัฐอเมริกาได้มีการกำหนดให้ทุกองค์กรและบริษัทต้องมีการวางกฎระเบียบที่จะไม่ให้มีการล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนการลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดเหล่านั้นด้วย (ประเทศไทยก็มีการปรับปรุงกฎหมายในเรื่องนี้ โดยในระบบราชการก็ได้มีการกำหนดมาตรการไม่ให้มีการล่วงละเมิดทางเพศรวมถึงบทลงโทษเมื่อไม่กี่ปีมานี้)
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาให้นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายในโครงการจำนำข้าว (ที่เสียหายเป็นแสน ๆ ล้าน แต่กระทรวงการคลัง “เกรงใจ” คิดบัญชีออกมาแค่ 3 หมื่นกว่าล้าน) เพียงส่วนหนึ่งคือ 10,028 ล้านบาท โดยศาลพิจารณาว่าเป็นการจงใจให้มีการทุจริตและ “ปล่อยปละละเลย” ให้มีการกระทำให้เกิดความเสียหายนั้น
เทียบเคียงกับคดีที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ก็เปรียบได้ว่านางยิ่งลักษณ์เป็นประธานบริษัทเหมืองประเทศไทย ได้ปล่อยให้รัฐมนตรี ข้าราชการ และพ่อค้าบางคน หาประโยชน์จากโครงการจำนำข้าว (ความจริงว่ากันว่าพี่สาวของนายกฯเองนั่นแหละเป็นคนควบคุมโครงการ) ซึ่งก็คือปล่อยให้คนเหล่านี้ “ล่วงละเมิด -ข่มขืน” ตลาดค้าข้าวและระบบการผลิตข้าว ซึ่งนายกจะบอกไม่รู้เรื่องไม่ได้ ซึ่งศาลก็บอกว่าเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีหลาย ๆ หน่วยงานตักเตือนแนะนำก็ไม่เชื่อ ไม่ระงับ และยังดันทุรังที่จะ “ข่มขืน” ประเทศไทยนี้ต่อไป
ไหน ๆ ก็ระบบกฎหมายของเราบางอย่างก็ยังโบราณอยู่ น่าจะเอากฎหมายโบราณมาใช้อีกสักทีก็ได้ อย่างคนที่ขโมยของก็ตัดมือ หรือข่มขืนก็ตัดอวัยวะ
ไอ้อีคน “แบบนี้” ควรจะตัดดีเอ็นเอของพวกมันทุกตะกูลให้หมดสิ้นเผ่าพันธุ์เลยดีไหม?