สถานการณ์ของพรรคภูมิใจไทยเวลานี้ ต้องยอมรับว่าเจอกับศึกหนัก ศึกใหญ่ไปเสียทุกด้าน ในรัฐบาลผสม “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ต้องบริหารความสัมพันธ์ใน “รัฐบาลผสม” ฐานะพรรคร่วมรัฐบาล
ขณะเดียวกัน “ครูใหญ่” อย่าง “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง ต้องหาทางรับมือกับเกมการเมืองโดยมี “คดีฮั้วเลือกสว.67” เป็นสารตั้งต้น ซึ่งล่าสุด มีการขยายผล ไปสู่การร้องให้ “ยุบพรรค” ตามมา ทั้งจากนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ไปจนถึง สว.สำรอง ที่ออกมาเปิดหน้า หอบหลักฐานไปยื่นคำร้องจากประเด็นเรื่องความไม่โปร่งใส ในกระบวนการเลือกสว.ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น
โดยเฉพาะการเปิดหน้าชน โดย “กุสุมาลวตี ศิริโกมุท” อดีตผู้สมัครสว.ที่อ้างว่ามีหลักฐานทั้งภาพถ่าย คลิปวีดีโอ ไปจนถึง เส้นทางการเงินของ “บิ๊กเนม” ในพรรคภูมิใจไทย ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งกุสุมาลวตี เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 20 พ.ค.68 เพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคภูมิใจไทย
“ มีหลักฐานการกระทำความผิดทั้งอั้งยี่ซ่องโจร และพฤติกรรมทั่วไปของนายไชยชนก ชิดชอบ ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรค มีหลักฐานว่า เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการมีการจัดตั้งคนใน จ.บุรีรัมย์ และพบเส้นทางการเงิน มีหลักฐานการโอนเงิน
ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์จับได้หมดว่า ใครโอนเงินไปให้ใครบ้าง โดยจะนำหลักฐานนี้มายื่นให้ภายหลังเพราะกลัวและเชื่อว่า ในทุกองค์กรจะมีฝ่ายเขา ฝ่ายเรา” (20 พ.ค.68)
พรรคภูมิใจไทยจะแก้เกมเรื่องนี้อย่างไร ยังเป็นเรื่องที่ต้องสู้กันต่อในทางข้อกฎหมาย ต่อไป แต่ต้องยอมรับว่าการดำรงอยู่ของพรรคภูมิใจไทยนั้นมีความสำคัญยิ่ง เมื่อเป้าหมายคือการได้พาสชั้นขึ้นมาเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล” และพรรคยังมี “แคนดิเดตนายกฯ” ที่พร้อมจะขึ้นแท่นแทน “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ
ระหว่างที่พรรคภูมิใจไทยกำลังสู้กับเกมยุบพรรค แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาของพรรค ซึ่งกำลังสะสมตัวเลขสส. เข้าพรรค จะด้วยเพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เมื่อการปรับครม.มาถึงหรือไม่ก็ตาม
แต่อย่างน้อยที่สุด ตัวเลขสส.ของพรรคกล้าธรรม คือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพรรคเพื่อไทย “ทางอ้อม” ในจังหวะที่พรรคภูมิใจไทยกำลังเข้าสู่โหมด ถูก “สลายกำลัง” อย่างต่อเนื่อง !