ธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 ลงเหลือเพียง 1.6% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.9% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันจากความไม่แน่นอนระดับโลกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งบั่นทอนทั้งการส่งออกและการลงทุนของไทยอย่างชัดเจน

ภายใต้บริบทที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับภาพรวมภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งถูกปรับลดประมาณการเติบโตจาก 5.0% เหลือ 4.0% เช่นกัน โดยแต่ละประเทศมีแนวโน้มการเติบโตที่ต่างกัน เช่น มองโกเลีย 6.3%, เวียดนาม 5.8%, ฟิลิปปินส์ 5.3%, อินโดนีเซีย 4.7%, และจีน 4.0% ขณะที่ไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด

ความท้าทายสำคัญ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การส่งออกที่ชะลอตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่หดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง ส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และความต้องการจากต่างประเทศที่ลดลง กำลังกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะกลาง

อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกมองว่า โอกาสยังมี หากประเทศในภูมิภาคนี้ รวมถึงไทย สามารถเร่งการปฏิรูปใน 3 ด้าน ได้แก่

การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มผลิตภาพและการจ้างงาน

การปฏิรูปเพิ่มการแข่งขันภาคบริการ ซึ่งเป็นกุญแจในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ดังที่เวียดนามกำลังดำเนินการอย่างแข็งขัน

การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ผู้บริหารธนาคารโลกอย่าง มานูเอลา วี. เฟอโร และ อาดิตยา แมตทู ต่างเน้นย้ำว่า สูตรสำเร็จในการฝ่าฟันความไม่แน่นอนครั้งนี้คือ "การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี การปฏิรูปจริงจัง และความร่วมมือเชิงนวัตกรรม" ซึ่งจะไม่เพียงช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ยังปูทางไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

ในอีกด้านหนึ่ง มีสัญญาณบวกเล็กน้อยจากตัวเลขความยากจนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าราว 24 ล้านคน จะสามารถหลุดพ้นจากเส้นความยากจนตามนิยามรายได้ปานกลางถึงสูงภายในปี 2567-2568

สำหรับประเทศไทย ตัวเลข 1.6% ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคและสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศสูง โดยเฉพาะภาคบริการที่ยังไม่สามารถยกระดับการแข่งขันได้เต็มที่ การปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ท่ามกลางโลกที่ผันผวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และการพึ่งพานวัตกรรม เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศ จะเป็นตัวกำหนดว่าประเทศไทยจะหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำได้หรือไม่ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า