ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “การจับมือ” ระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กับ “ผู้จัดการรัฐบาล” อย่าง “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม จะทำไปสู่การตีความว่า “ศึก” ข้ามพรรค นั้นจบลงแล้วจริงหรือไม่
เพราะการจับมือกันโชว์สื่อ ในท่ามกลางกระแสความขัดแย้ง ร่ำๆว่า พรรคเพื่อไทย เตรียมเขี่ย พรรคภูมิใจไทย ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นั้นย่อมรู้ดีว่าซีนนี้จะอยู่ในความสนใจโดยไม่ต้องสงสัย อย่าลืมว่าในรอยร้าวนั้นอาจจะลึกเกินกว่า ที่จะยุติลงที่ “ตัวแทน” จากทั้งสองพรรคมาจับมือกันเท่านั้น
เมื่อพบว่า ณ วันนี้ ต่างฝ่ายต่างยัง ถือ “ไพ่ตาย” เอาไว้ในมือ ซึ่งอาจมีอานุภาพรุนแรงไม่ต่างจากการถือมีดเอาไว้ในมือด้วยซ้ำ
ความเคลื่อนไหวจากฝั่งสว.ที่ล่าสุดการตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา ถูกจับตาว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ “สว.สายน้ำเงิน” ที่มีความใกล้ชิด เชื่อมโยงกับ “พรรคภูมิใจไทย” เข้าไปนั่งในคณะกรรมาธิการฯชุดนี้เพื่อใช้ต่อรองทางการเมืองมากกว่าเพื่อกฎหมาย หรือไม่
การตั้งคณะกรรมาธิการฯของวุฒิสภา ที่มีสว.สายสีน้ำเงิน กระจายเป็นวงล้อมเช่นนี้ ย่อมทำให้พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล และพยายามผลักดันร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เข้าสภาฯมาแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ จนปิดสมัยประชุมสภาฯที่ผ่านมา ย่อมอดกังวลไม่ได้ว่า ที่สุดแล้วจะฝ่าด่านทั้งสภาล่างและสภาสูงไปได้หรือไม่
ขณะเดียวกันความคืบหน้าคดีฮั้วเลือกสว. 2567 ที่อยู่ในมือของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือดีเอสไอ ที่เดินหน้าสอบเรื่องการฟอกเงิน นั้นก็อย่าลืมว่า สว.ที่อยู่ในข่ายต่างอยู่ในกลุ่มสว.สายสีน้ำเงิน เกือบครึ่ง !
บรรยากาศการเมืองที่ยังอึมครึม ระหว่างสองพรรคใหญ่ที่อยู่ร่วมรัฐบาลแต่ยังไม่ถึงขั้นแตกหัก เพราะต่างฝ่ายต่างไม่มีใคร พร้อมลงสนามเลือกตั้งใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกความได้เปรียบ เสียเปรียบทางการเมือง นั้นยังอาจโยงใยไปถึง ความจำเป็นและความสำคัญที่พรรคเพื่อไทย และ “แพทองธาร ชินวัตร” ยังต้องกุมอำนาจฝ่ายบริหารเอาไว้เป็นหลัก อย่าลืมว่า คดีความของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แม้วันนี้ยังไม่เดินไปถึงวันพิพากษา ทั้งคดี “ชั้น14” และคดีม.112 แต่เมื่อทุกคดียังคาราคาซังอยู่เช่นนี้ หาก “อำนาจ” หลุดมือ ยิ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง !
///////////////////////////