เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

นับวันคำถามความสงสัยเรื่อง “ประชาธิปไตย” จะมีมากขึ้น จนมีคนบอกว่า “ประชาธิปไตยตายแล้ว” ที่เห็นและเป็นอยู่ คือ “หน้ากากประชาธิปไตย” แต่ “หัวใจเผด็จการ” เหมือนนิทานหมาป่าที่เอาหนังแกะมาห่อหุ้มตัวเองแล้วหาทางเข้าไปในฝูงแกะเพื่อกินเป็นอาหาร

ท่านพุทธทาสภิกขุกับเพลโตเห็นด้วยกันว่า สังคมที่คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้และคุณธรรม ย่อมถูกล่อด้วยผลประโยชน์ หรือถูกหลอกด้วยเหตุผลที่ผิด จนตัดสินใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังกรณีของโสคราติส อาจารย์ของเพลโตที่ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยสภาประชาชนของเอเธนส์

ท่านพุทธทาสอยากเห็น “ธรรมิกสังคมนิยมประชาธิปไตย” ที่เน้นว่าประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่ระบอบที่ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด และเป็นการปกครองที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีการพัฒนาตนเอง ทั้งในด้านจริยธรรมและปัญญา การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของสังคมควรมาจากจิตสำนึกและธรรมะ ซึ่งจะนำไปสู่ความสงบสุขและความเป็นธรรมในสังคม

ท่านมองว่าการเมืองไม่ใช่เพียงเรื่องของโครงสร้างหรือระบอบ แต่เป็นการแสดงออกของความเข้าใจในความเป็นจริงและความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างบุคคลกับสังคม

ส่วนเพลโต ใน “อุตมรัฐ” (The Republic) เขาวิจารณ์ประชาธิปไตยว่าเป็นระบบที่อาจนำไปสู่ “ระบอบพวกมากลากไป” โดยที่ผู้มีอำนาจปกครองที่แท้จริงควรเป็น “ราชาปราชญ์” หรือผู้รู้แจ้งในความจริง

เขาเชื่อว่ามวลชนโดยทั่วไปอาจไม่มีความสามารถหรือปัญญาเพียงพอในการตัดสินใจเลือกผู้นำที่มีคุณธรรมและความรู้จริง ส่งผลให้เกิดการปกครองที่ไม่มั่นคงและอาจล้มเหลวในที่สุด

ท่านพุทธทาสเน้นความสำคัญของการตื่นรู้ภายในจิตใจและการพัฒนาคุณธรรมส่วนบุคคลเป็นฐานของประชาธิปไตย ในขณะที่เพลโตมองว่าผู้ปกครองที่มีความรู้และปรัชญาควรเป็นเพียงกลุ่มเล็กที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการปกครอง (Aristocracy)

ท่านพุทธทาสเชื่อว่าประชาชนทุกคนสามารถพัฒนาและเข้าถึงความจริงได้หากมีการเรียนรู้และปฏิบัติตามหลักธรรม ในขณะที่เพลโตกังวลว่ามวลชนอาจถูกชักจูงโดยความต้องการชั่วคราว ขาดวิสัยทัศน์ในระยะยาว

เป็นเป้าหมายของการปกครอง

สำหรับท่านพุทธทาส การปกครองที่ดีคือการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และสงบสุขโดยอาศัยความเข้าใจในธรรมะและจริยธรรม ในขณะที่เพลโตมองว่าระบบที่ดีที่สุดคือการปกครองโดยผู้ที่มีความรู้แจ้งเพื่อความเป็นระเบียบและความยุติธรรมตามหลักปรัชญา

​ทั้งพุทธทาสภิกขุและเพลโตมีความเห็นที่คล้ายคลึงกันในเรื่องข้อจำกัดของระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจโดยเสียงข้างมากที่อาจไม่ถูกต้อง นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์​

ท่านพุทธทาสเน้นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงควรมีศีลธรรมและความไม่เห็นแก่ตัวเป็นรากฐาน หากขาดสิ่งเหล่านี้ ประชาธิปไตยอาจกลายเป็นเผด็จการของเสียงข้างมากได้ ​เพลโตวิจารณ์ประชาธิปไตยว่าเปิดโอกาสให้บุคคลที่ขาดความรู้และคุณธรรมมีส่วนร่วมในการปกครอง ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสื่อมมากกว่าความเจริญ

ความหมายของ “ธรรมิกสังคมนิยมประชาธิปไตย” ในแนวคิดของท่านพุทธทาส คือสังคมที่เป็น  “ประชาธิปไตย” ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและการตัดสินใจในสังคม​ มีลักษณะเน้น “สังคม” มากกว่า “ปัจเจก” คือเน้นความสำคัญของสังคมส่วนรวม การแบ่งปันทรัพยากร และการลดความเหลื่อมล้ำ

ในเวลาเดียวกันเป็น “เผด็จการโดยธรรม” การใช้ธรรมะหรือความถูกต้องตามหลักศาสนาเป็นหลักในการปกครอง ซึ่งหมายถึงการมีผู้นำที่มีคุณธรรมและปฏิบัติตามหลักธรรมะในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม​

ท่านพุทธทาสเชื่อว่า การปกครองที่ดีควรมีธรรมะเป็นแกนกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาธิปไตยกลายเป็นเครื่องมือของผู้เห็นแก่ตัว หรือสังคมนิยมที่ขาดคุณธรรม การมีผู้นำที่ปกครองด้วยธรรมะจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง​

ดังนั้นการใช้ภาษาที่ผสมหลายคำที่ดูย้อนแย้งอย่าง "สังคมนิยมเสรีประชาธิปไตยแบบเผด็จการ" ในความหมายของท่านพุทธทาส คือ ระบบการปกครองที่ผสมผสานระหว่างประชาธิปไตยและสังคมนิยม โดยมีการนำหลักธรรมมาเป็นแนวทางในการปกครอง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความสงบสุขในสังคม​

ถ้านำแนวคิดของนักปราชญ์สองท่านมาพิจารณาโลกวันนี้จะเห็นภาพเล็กของสังคมหลายประเทศที่มีการปกครองในลักษณะที่ใกล้เคียงกับสังคมที่พึงประสงค์ เป็นสังคมประชาธิปไตย ที่รัฐบาลมีธรรมาภิบาลได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ “ตื่นรู้”

ประเทศเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นสังคม “รัฐสวัสดิการ” ที่สร้างระบบที่เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ทั้งสุขภาพ การศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่โดยรวม ทำให้เห็นว่า “ประชาธิปไตย” ยังไม่ได้ตาย (เสียทีเดียว) อย่างที่หลายคนคิด

กระนั้น ถ้าพิจารณาภาพใหญ่ของสังคมโลก ที่ทุกอย่างสัมพันธ์กันเป็น “โลกาภิวัตน์” ก็ยิ่งเห็นภาพหมาป่าที่สวมหนังแกะชัดเจน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความเหลื่อมล้ำของประเทศรวยกับประเทศจน ประเทศพัฒนากับประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนานับวันจะถ่างออกไป เหมือนความเหลื่อมล้ำในประเทศเอง

นับวัน หายนะจะมากขึ้น อย่างท่านพุทธทาสเตือนว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ”