ทวี สุรฤทธิกุล
เลือกตั้งครั้งต่อไปน่าสนใจว่าจะเหลือพรรคการเมืองให้เลือกกี่พรรค และจะล้มหายตายไปกี่พรรค?
การลุกขึ้นมา “ประกาศ” โคตรตระกูลแล้วต่อต้านคาสิโนของนายไชยชนก ชิดชอบ เมื่อการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดสุดท้ายก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่สะเทือนไปทั้งรัฐบาล แต่ยังสะเทือนไปทั้งองคาพยพทางการเมือง เพราะน่าจะส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของประเทศไทย โดยเฉพาะอนาคตของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ร่วมกันเป็นรัฐบาลอยู่นี้ ที่อาจจะถึงขั้น “พลิกโฉม” หรือ “ถอนรากถอนโคน” เปลี่ยนรูปแบบของพรรคการเมืองไปเลย
“กูรู้” หลายคนวิเคราะห์ว่าอาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีไม่ช้าก็เร็วนี้ เพราะ “นายหน้าเหลี่ยม” โกรธมาก เหมือนโดน “นายยี้ห้อย” พ่อของนายไชยชนกโดดถีบเข้าเต็มหน้า โดยอาจจะเขี่ยพรรคภูมิใจไทยบางส่วนออกไป แล้วให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เลือกข้างเอาเองว่าจะอยู่กับรัฐบาล หรือจะไป “ตำน้ำกิน” ที่บุรีรัมย์ แต่ถ้าไม่ปรับคณะรัฐมนตรีตอนนี้ รอให้มี “อุบัติเหตุ” อะไรบางอย่าง เช่นคดีความที่กำลังจะเกิดกับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล(รวมถึงที่จะเกิดกับคุณพ่อ สทร.นั้นด้วย) คุณพ่อ สทร.ก็อาจจะให้ลูกสาวชิงยุบสภา แล้วมีเลือกตั้งใหม่ ตรงนี้ก็อาจจะมีการจัดกระบวนทัพของพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ “ในรูปแบบใหม่” อย่างแน่นอน
สำหรับผู้เขียนที่เป็นเพียงพวก “พอรู้” กลับมองว่าพรรคการเมืองที่จะแตกก่อนเพื่อนก็คือพรรคเพื่อไทยนั่นแหละ เพราะเป็นพรรคที่มีจุดอ่อนมากมาย
ประการแรก พรรคเพื่อไทยเป็น “พรรคหัวขาด” คือขาดหัวหน้าพรรคหรือผู้นำที่เข้มแข็ง แม้ตอนนี้ “นายหน้าเหลี่ยม สทร.” จะออกตัวมารับหน้าเสื่อ(ด้วยการแสดงบารมีคับบ้านคับเมือง)และพยายาม “ลากไถ” พรรคพิการพรรคนี้ให้เดินหน้าต่อไป แต่ด้วยเวรกรรมที่คน ๆ นี้ยังต้องชดใช้ รวมถึงวาระอายุก็คงแข็งแรงอยู่ไปได้ไม่นาน ก็จะทำให้พรรคนี้มีอันเป็นไปโดยบริบูรณ์ในไม่ช้านี้
ประการต่อมา พรรคเพื่อไทยเป็น “พรรคอุบาทว์” ด้วยนโยบายที่ขัดต่อศีลธรรม(คาสิโน)และเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น(อย่างที่สร้างไว้ในอดีตมาอย่างต่อเนื่อง) ย่อมจะเอาใช้หาเสียงได้ยากในยุคที่คนทั้งหลายอยากเห็นบ้านเมืองนี้ดีงาม รวมถึงนโยบายที่หาเสียงไว้ก็ทำได้ “ไม่ตรงปก”(แจกเงินดิจิตอลและค่าแรงวันละ 600 บาท) เท่ากับโกหกประชาชน และยากที่จะรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือให้กลับมาได้
ประการสุดท้าย พรรคเพื่อไทยเป็น “พรรคเสื่อมโทรม” คือหมดยุคที่เคยรุ่งเรืองและเข้าสู่ยุคเสื่อมสลาย ไม่เพียงแต่ขาดผู้นำ แต่ยังขาดความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงน่าจะ “ขาดผู้สนับสนุน” หรือคนที่เคยให้เงินทองแก่พรรค ๆ นี้ เพราะเขาก็คงจะมองเห็นอนาคตของพรรคนี้ว่าคงจะไปไม่ไหวต่อไปแล้ว บรรดานักการเมืองประเภท “หัวสูบ” ที่เคยทำมาหากินกับตำแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ ก็หากินลำบาก หลายคนก็เพลามือและอาจจะไม่ “ทุ่มเท” ให้กับพรรคนี้อีก นั่นก็คือพรรคนี้จะต้องถึงกาลอวสานอย่างแน่นอนนั่นเอง
ผู้เขียนแสดงความเห็นมาอย่างนี้ก็ด้วยอาศัย “ความจริง” ที่เกิดขึ้นกับพรรคการเมืองไทยหลาย ๆ พรรคอย่างที่ได้ศึกษามา ทั้งในฐานะผู้ร่วมอยู่ในกระบวนการทางการเมืองไทยมาตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 กับที่ได้ศึกษามาในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งปริญญาตรีและโทอีก 8 ปี แล้วมาทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชอีก 33 ปี เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยนี้ต้อง “หมดอนาคต” ในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน
ผู้เขียนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทเรื่อง “การต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองไทย : ศึกษากรณีพรรคกิจสังคม” ค้นพบว่าพรรคการเมืองไม่เฉพาะแต่พรรคกิจสังคมในยุคนั้น (ช่วงที่ศึกษาคือตั้งแต่ก่อตั้งพรรคในปี 2517 ถึงช่วงที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ลาออกจากหัวหน้าพรรคในปี 2528) มีปัญหาสำคัญอยู่ 3 เรื่องใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง ตั้งอยู่ได้ด้วยชื่อเสียงของหัวหน้าพรรค เมื่อหัวหน้าพรรคหมดอำนาจหรือเสื่อมบารมี พรรคนั้นก็เสื่อมและหมดอำนาจไปด้วย สอง แต่ละพรรคโดยเฉพาะพรรคขนาดใหญ่มี ส.ส.มาก ๆ จะมีการแบ่งเป็นก๊ก ๆ แล้วแย่งชิงอำนาจกัน ถ้าไร้หัวหน้าพรรคที่เข้มแข็ง ในที่สุดพรรคนั้นก็จะแตก แล้ว ส.ส.เหล่านี้ก็จะกระจายไอยู่ในพรรคอื่น ๆ แล้วไปรวมหมู่กันเป็นก๊ก ๆ ในพรรคใหม่ และสร้างปัญหาดังเดิม และสาม ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งพรรคเกิดใหม่จะมีเป็นจำนวนมาก แต่ก็จะมี ส.ส.เก่ากับ ส.ส.ใหม่ มารวมกันเป็นสัดส่วนราว ๆ 70 ต่อ 30 แต่ที่สุด ส.ส.ใหม่ก็จะถูก ส.ส.เก่า “กลืน” เข้าไปในระบบ คือ “ความเป็นน้ำเน่า” ไปด้วยกัน ซึ่ง ส.ส.ใหม่จำเป็นต้องปรับตัวให้เป็นแบบนั้นเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะการมีตำแหน่งต่าง ๆ ทางการเมือง เพราะการเมืองไทยยังเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ในทุกระดับ
มองไปที่พรรคภูมิใจไทยและนายอนุทิน ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะยังต้องเลือกที่จะอยู่กับ “ครูใหญ่บุรีรัมย์” เพราะโดยบารมีทางการเมืองน่าจะยังมีไม่มากเท่า ยังคงต้องพึ่งพิงบารมีของครูใหญ่ฯนี้เพื่อรักษาความกว้างขวางของคนที่จะมาร่วมงานทางการเมืองจากทั่วประเทศ เว้นแต่ว่าคุณอนุทินอยากจะเป็นอิสระ ก็อาจจะใช้ยุทธศาสตร์แบบที่พวกนักการเมือง “เก๋า ๆ” เช่น พวก 3-4 ส นั้นทำกัน คือ แตกออกไปอยู่กับพรรคใหญ่พรรคอื่น แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยหมดอนาคตแล้ว คุณอนุทินจะไปอยู่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น ครูใหญ่ฯน่าจะรอเวลาที่จะให้ลูกชายคือนายไชยชนกนั้นขึ้นกุมอำนาจอย่างเต็มตัวเสียที ยิ่งนายอนุทินมีปัญหาออกไป และเอายี่ห้อพรรคภูมิใจไทยไปด้วย แต่สติปัญญาและบารมีอย่าง “ครูใหญ่ยี้ห้อย” ก็คงจะไปตั้งพรรคอะไรก็ได้ และคงจะสร้างพรรคนี้ให้ยิ่งใหญ่ได้เหมือนที่เคยสร้างพรรคภูมิใจนั้นมา
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า พรรคการเมืองอย่างพรรคประชาชนจะอยู่รอดหรือมีอนาคตอย่างไร เรื่องนี้ถ้าพิจารณาด้วยทฤษฎีพรรคการเมืองไทยอย่างที่ผู้เขียนได้ค้นพบในการทำวิทยานิพนธ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ก็อาจจะพบทางสว่างได้บ้างว่า ยังมีช่องทางที่จะเกิดพรรคการเมืองในแนวใหม่นี้ได้เรื่อย ๆ เพราะประเทศไทยน่าจะยังมี “คนดีศรีอยุธยา” อยู่อีกมาก รวมถึงคนที่อยากจะมา “ร่วมบุญ” อาศัยบารมีของ “คนดีคนเด่น” เหล่านั้นอยู่อีกเยอะ อันเป็นธรรมชาติของพรรคการเมืองไทยและสังคมไทย
ขอเพียงแต่เปลี่ยนภาพจาก “ฝนตกขี้หมูไหล เอานักการเมืองจัญไรมารวมกัน” ไปเป็น “ฝนตกน้ำใสสะอาด รวมคนดีคนเก่งของชาติมาช่วยกัน” แค่นี้คะแนนเสียงก็ไหลมาเทมา !