สถาพร ศรีสัจจัง
ช่วงที่หนังการ์ตูนยุค “อเมริกันเจ้าโลก” กำลังผลิตภาพยนตร์เรื่อง “บิ๊กทรัมป์ทลายโลก” (Bic Trump-the Destroyer!) ออกฉายข่มขวัญผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลกจนทำสถิติแย่งพื้นที่สื่อแบบถล่มทลายอยู่ทั่วโลกนั่นเอง ที่ใครก็ไม่รู้เมตตาส่ง “บทกวี” ประเภท “กลอนแปด” บทหนึ่งของท่าน ดร.อภิชาติ ดำดี นักพูดชื่อดัง(อดีตลูกพี่คุณณัฐวุฒิ ใสเกื้อ?) มาให้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกกระทบใจหลายเรื่อง แต่ก่อนที่จะบอกว่ากระทบในเรื่องอะไรบ้างนั้น อยากจะเอาคำกลอนบทที่ว่าทั้งบทมาเผยแพร่ให้อ่านเพื่อจะได้ร่วมประเทืองปัญญาต่อกัน ในช่วงยามที่ประเทศกำลังจะล่มจมกันก่อนสักหน่อยน่าจะดีกว่า
พร้อมกันก็ถือโอกาสขอโทษท่านผู้เขียนคือ ดร.อภิชาติ ดำดี ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ถือวิสาสะนำผลงานของ “น้องท่าน” มาเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้ขออนุญาตกับเจ้าตัวโดยตรง
เนื้อหาของบทกวีดังกล่าว มีดังนี้ :
"@ โจร 9 เสียง กับพระ มี 1 เสียง/ต่างพร้อมเพรียง ชุมนุม ประชุมใหญ่
มี…ญัตติ เร่งรัด ตัดสินใจ/ “คืนนี้ไป สวดมนต์ หรือปล้นดี?”
อภิปราย ประท้วงกัน สนั่นเสียง/โจรกับพระถกเถียงกันเต็มที่
แล้วยกมือ ลงมติ ในทันที/ญัตตินี้ โจรชนะ พระแน่นอน
เสียงข้างมาก ตัดสินใจ ให้ไปปล้น/เสียงข้างน้อย สวดมนต์ ทนไปก่อน
จึงต้องปล้น อุกอาจ ราษฎร/ตามขั้นตอน ข้างมาก ลากกันไป
เสียงข้างมาก ต้องมีธรรม นำชีวิต/สุจริต เพื่อประโยชน์ คนส่วนใหญ่
เสียงข้างมาก ไม่มีธรรม ส่องนำใจ/จะพาชาติ บรรลัย ในไม่ช้า
ประชาธิปไตย ใช่ดูแต่ แค่รูปแบบ/ต้องยลแยบ ดูให้ซึ้งถึงเนื้อหา
เสียงข้างมาก ไม่มีธรรม ช่วยนำพา/ก็เป็นเพียง โจรา ธิปไตย…”
อ่านกลอนบทนี้ของ ดร.อภิชาติ ดำดีแล้ว ทำให้นึกถึงอะไรหลายอย่าง ทั้งในสังคมไทยและสังคมโลกมนุษย์ในวันนี้
ที่นึกถึงมากสุดก็คือคำว่า “ธรรมะ” และ คำว่า “ประชาธิปไตย”
กลอน 4 วรรคสุดท้าย ที่เป็นบทสรุปสำคัญของเนื้อหาเรื่องเรื่องราว บอกเราชัดเจนว่า “ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะ” คือ “ประชาธิปไตยของโจร” ดีๆนี่เอง
คำ “ธรรมะ” ที่ดร.อภิชาติยกมา ทำให้คิดถึงเมื่อครั้งท่านพุทธทาส ภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม เมืองไชยา สุราษฎร์ธานี เมื่อครั้งยังมีชีวิตเผยแผ่ “ธรรมะ” ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นอยู่ ท่านก็ได้รจนาคำสอนเป็นบทกลอนไว้บทหนึ่ง มีเนื้อหาคล้ายๆกับบทกลอนของท่านดร.อภิชาติที่ยกมา
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านดร.อภิชาติ จะได้รับแรงดาลใจจากผลงานของท่านพุทธทาสชิ้นนั้น แล้วจึงมาขยายความเรื่องราว เพื่อสะท้อนปรากฏการณ์ในสังคมไทยปัจุบันต่อจากความคิดของท่านพุทธทาสเพื่อให้คนอ่านได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นหรือเปล่า?
กลอนของท่านพุทธทาส อริยสงฆ์แห่งปักษ์ใต้ มีความเต็มดังนี้ :
" ๐ ถ้าศีลธรรม ไม่กลับมา โลกาวินาศ
มนุษยชาติ จะเลวร้าย กว่าเดรัจฉาน
มัวหลงเรื่อง กินกาม เกียรติ เกลียดนิพพาน
ล้วนดื้อด้าน ไม่เหนี่ยวรั้ง บังคับใจ
อาชญากรรม เกิดกระหน่ำ ลงในโลก
มีเลือดโชก แดงฉาน แล้วซ่านไหล
เพราะบ้ากิน บ้ากาม ทรามเกินไป
บ้าเกียรติก็ พอได้ ให้เมาตน.
อยากครองเมือง ครองโลก โยกกันใหญ่
ไม่มีใคร เมตตาใคร ให้สับสน
ขอศีลธรรม ได้กลับมา พาหมู่คน
ให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ ทันเวลา ฯ”
ที่จริงนอกจากคำกลอนบทดังกล่าวนี้แล้ว ท่านพุทธทาส ยังได้มีบันทึกเป็นลายมือข้อเขียนของท่านเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” ไว้อย่างชัดเจนว่าอาจ “ชั่วร้าย” ยิ่งกว่าระบบใดๆ(แม้แต่ระบบเผด็จการ) อย่างไร ถ้าประชาธิปไตยนั้นเป็น “ประชาธิปไตยโกง”
จะลองยกบางตอนของบันทึกดังกล่าวมาให้ดูกันสักหน่อยก็แล้วกัน ท่านว่าไว้ตอนหนึ่งดังนี้
“…ประชาธิปไตยนี้ มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐาน มันก็เป็นประชาธิปไตยโกง ดูเหมือนจะเคยพูดมาบ้างแล้ว ว่าประชาธิปไตยโกงนั่นมันร้ายกาจอย่างไร คือ ประชาชนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม แต่ถือระบบประชาธิปไตย มันก็มีโอกาสที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเสรี แต่ละคนๆมีเสรีภาพที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่ แล้วจะทนไหวหรือ?…”
แล้วท่านก็สรุปในท่อนท้ายว่า
“เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด แห่งระบบทั้งหลาย...”
ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านดร.อภิชาติ ดำดี เขียนกลอนบท “โจรกับพระ” ที่ตรงกับคำสอนของท่านพุทธทาส ภิกขุ ออกเผยแพร่ในช่วงยามที่รัฐสภาไทย(ภาพลักษณ์ของความเป็นประชาธิปไตยแบบชาติตะวันตกที่เอาต้นแบบมาจากสหรัฐอมริกาและประเทศต่างๆในยุโรป)กำลังจะผ่านกฎหมาย “ญัตติ” สำคัญ คือกฎหมายบางฉบับซึ่งขัดแย้งกับ “ราก” ความเป็น “สังคมพุทธ” ของประเทศไทย ที่ชาวบ้านเรียกแบบสะดวกปากตรงกับเนื้อหาหลัก(ที่สอดไส้ไว้)ว่า “กฎหมายกาสิโน” อย่างที่กำลังรู้ๆเห็นๆกันอยู่นั่นแหละ
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะช่วยเตือนสติคนไทยให้มองเห็นภาพ “รัฐสภาโจร” (รัฐสภาที่มีมือของคนที่มีใจเป็น “โจร” มากกว่าคนที่มีใจเป็น “พระ” )ตามทรรศนะของดร.อภิชาติเธอหรือเปล่า?
แต่ที่แน่ๆก็คือ ท่านพุทธทาส ภิกขุ เคยสรุปเรื่อง “รัฐสภา” แบบนี้ไว้แต่เมื่อนานมาแล้วอย่างเห็นภาพชัดเจน ว่า
“…เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนโกง ก็ได้ผู้แทนโกง ผู้แทนโกงทั้งหลายไปประกอบกันเป็นรัฐสภา ก็เป็นรัฐสภาโกง รัฐสภาโกงไปตั้งคณะรัฐบาล ก็เป็นคณะรัฐบาลโกง เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เป็นคนโกง โกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง...” เอวัง!!!