เว็บไซต์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รายงานผลการเสวนาวิชาการภายใต้หัวข้อ “เจาะลึกเกมอำนาจ: ทรัมป์ ปะทะ สี จิ้นผิง ใครกำหนดเกมในภูมิภาครัสเซีย เกาหลี และอาเซียน” ซึ่งจัดโดยคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ร่วมแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ถึงความเป็นไปได้ในการเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้เขียนจะเชิญชวนให้คุณผู้อ่านได้ร่วมรับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่น่าสนใจ
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ระบุว่า สถานการณ์โลกในขณะนี้กำลังเข้าสู่ภาวะ “สงครามเบ็ดเสร็จ” (Total War) ซึ่งอาจลุกลามไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 หากมหาอำนาจยังเผชิญหน้ากันโดยไร้แนวทางแก้ไขที่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่มีแนวโน้มยกระดับความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง พร้อมเตือนว่า ปีนี้สถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลกยังยากที่จะยุติลง หนทางเดียวคือเร่งลดระดับความขัดแย้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมหาสงคราม
รศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษา กล่าวเสริมว่า ความได้เปรียบดุลการค้าของจีนเหนือสหรัฐฯ ในปัจจุบันเป็นผลจากนโยบายของสหรัฐเองในอดีต โดยเฉพาะการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่จีนช่วงทศวรรษ 1990 พร้อมเตือนว่าท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เช่น สงครามการค้า และการแทรกแซงความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน อาจยิ่งกระพือไฟสงครามใหญ่ทั่วโลก
ด้าน ดร.ภราดร รังสิมาภรณ์ นักการทูตชำนาญการพิเศษจากกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ วิเคราะห์ว่า ขณะนี้รัสเซีย จีน และสหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในเวทีโลก โดยเฉพาะรัสเซียที่ดูจะเป็นผู้คุมเกมความขัดแย้ง หากไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ ความเป็นไปได้ของสงครามโลกครั้งที่ 3 ย่อมเพิ่มสูงขึ้น และอาจเป็นสงครามที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งโลกอาจไม่เหลือโอกาสสำหรับสงครามครั้งที่ 4 อีกต่อไป
ในอีกมุมหนึ่ง ผศ.ดร.กมล บุษบรรณ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรเกาหลีศึกษา (นานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างเกาหลีใต้ว่าเป็นประเทศ “อำนาจขนาดกลาง” (Middle Power) ที่สามารถประคองตัวผ่านวิกฤตระดับโลกได้ด้วยกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการเผยแพร่วัฒนธรรม หรือ Soft Power ซึ่งช่วยให้ไต่ระดับขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีระหว่างประเทศโดยไม่พัวพันกับการเมืองโลกโดยตรง
สำหรับโลกโต้ หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Global South) ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า อาจดำเนินกลยุทธ์ 3 ทางเพื่อตอบสนองต่อนโยบายการค้าใหม่ของสหรัฐฯ ได้แก่
เจรจาโดยตรงรายประเทศ
รวมกลุ่มต่อรองผลประโยชน์
เผชิญหน้าโดยตรง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่ประเทศกำลังพัฒนา เช่น กลุ่ม BRICS และ BIMSTEC จะรวมตัวกันเพื่อลดอิทธิพลของชาติมหาอำนาจตะวันตก
สำหรับไทยควรวางบทบาทอย่างไรนั้น รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ชี้ว่า ประเทศไทยควรเร่งประเมินความเสี่ยงจากสถานการณ์โลก พร้อมเร่งแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่ รศ.วรศักดิ์ เน้นว่า ไทยต้องมีผู้นำที่กล้าตัดสินใจและกำหนดนโยบายระหว่างประเทศอย่างเด็ดขาด เพื่อประคับประคองผลประโยชน์ของชาติท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์โลก