หลังเกิดเหตุ แผ่นดินไหวที่ส่งผลให้ อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่ม กลายเป็นประเด็นสำคัญที่สังคมจับตาในเรื่อง ความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร รวมถึงการตรวจสอบเชิงลึกเกี่ยวกับ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว
ล่าสุด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงยุติธรรมตรวจสอบเบื้องต้น พบความผิดปกติ 3 ประเด็นได้แก่
มีการใช้คนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติในลักษณะนอมินี
บริษัทที่ตรวจพบขาดทุนสะสมและไม่ชำระภาษี
พบการอนุมัติสินเชื่อจากบริษัทให้กรรมการถึง 2,000 ล้านบาท
แม้โครงสร้างการถือหุ้นระบุคนไทย 51% และต่างชาติ 49% ตามกฎหมาย แต่การบริหารจริงกลับอยู่ในมือชาวต่างชาติทั้งหมด ซึ่งเข้าข่าย การครอบงำกิจการโดยต่างชาติ นอกจากนี้ ยังตรวจพบการจัดตั้งบริษัทในรูปแบบลักษณะเดียวกันกว่า 10 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 หรือไม่ โดยเตรียมส่งเรื่องให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม
สำหรับพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ ส่งเสริมบทบาทคนไทยในธุรกิจสำคัญ มีหลักเกณฑ์ห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจบางประเภท และบางประเภทจะประกอบธุรกิจได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาต หรือได้รับหนังสือรับรองแล้วแต่กรณี
ทั้งนี้ การควบคุมไม่ให้ กิจการสำคัญของประเทศตกอยู่ในมือของต่างชาติผ่านนอมินี ถือเป็นประเด็นที่รัฐต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยควรดำเนินควบคู่กับการเปิดรับ นักลงทุนต่างชาติในภาคเศรษฐกิจใหม่ อย่างมีสมดุล พร้อมทั้งเร่งปรับปรุง กฎหมายต่างด้าว ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการป้องกันการถือหุ้นแทนหรือการครอบงำกิจการโดยต่างชาติ คือ การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของผลผลิตจากบริษัท ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของไทยหรือต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมและนักลงทุน
นอกจากนี้ ภาครัฐยังควรให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนแฝงที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัด เช่น ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในระบบการบริหารจัดการภาคธุรกิจไทยอย่างยั่งยืน