ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
ที่ผ่านมาเราไปดูการเมืองและความมั่นคงของโลกกันมาเยอะแล้วโดยเฉพาะการเมืองสหรัฐฯ ประกอบกับเมื่อวันก่อนผู้เขียนได้ไปบรรยายที่เวทีหนึ่งและได้รับคำถามนี้มา วันนี้เลยมาชวนคุณผู้อ่านมองดูภูมิภาคของเรากันบ้าง หลังจากห่างหายกันมานาน
ในการเมืองโลกที่ร้อนแรงและสงครามการค้าครั้งใหม่ อาเซียนจะเป็นอย่างไร? ก่อนตอบคำถามนี้ มาทำความรู้จักความจริงของอาเซียนกันสักหน่อย
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อาเซียน” (ASEAN) ถือเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในระดับโลก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาเซียนเป็นที่พูดถึงกันตลอดในวงการวิชาการเมืองระหว่างประเทศถึงความ “อ่อนแอ” กว่าที่ควรจะเป็น
เนื่องด้วยการจัดการภายในของอาเซียนที่เป็นการรวมตัวของประเทศที่มีความแตกต่างกันทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาเซียนยึดหลักสำคัญในการ “ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน” (Non interference) ทำให้อาเซียนมักประสบกับปัญหาในการแก้ไขปัญหา “ขนาดใหญ่” ในลักษณะร่วมกันทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะปัญหาการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ
นอกจากนี้การจะทำอะไรในภาพรวมของอาเซียนทุกประเทศจะต้องเห็นชอบร่วมกันภายใต้หลักการ Consensus ที่หมายความว่า “ทั้งหมด” จะต้องเห็นด้วย ถ้ามีไม่เห็นด้วยแม้แต่หนึ่งประเทศ ก็จะเป็นอันว่าตกไป หลักการนี้ประกอบกับหลักการไม่แทรกแซงในกิจการภายในซึ่งกันและกันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ในอาเซียน ที่เอาง่ายๆว่า ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง แล้วเขาบอกว่า “นี่เป็นเรื่องภายในของฉันนะ อย่ามายุ่ง” สมาชิกอื่นๆ ก็ต้องให้เกียรติและหยุดการเข้าไปยุ่มย่าม (แม้ว่าจะมีเจตนาในการเข้าไปช่วยเหลือก็ตาม)
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อาเซียนมักจะร่วมมือกันได้ในมิติของการเมืองแบบเบาๆ หรือความมั่นคงในรูปแบบใหม่ๆที่ร่วมมือกันได้แล้วไม่รู้สึกบาดหมางใจ เช่น ด้านภัยพิบัติ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือถ้าจะเขยิบไปแตะด้านไซเบอร์ก็มักจะเป็นในลักษณะการแบ่งปันความรู้กัน ไม่ใช่การร่วมมือกันจัดการแบบชัดเจน (แม้ว่าจะมีความพยายามมาตลอด แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่หวังกันไว้) ไม่ต้องพูดถึงการเมืองเรื่องหนักๆอย่างเรื่องเขตแดน หรือปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่เหมือนจะได้ทำมากกว่าทำได้
ในด้านเศรษฐกิจ การพยายามจะพัฒนาไปเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตเดียว ร่วมกันทั้งอาเซียน ก็ดูแล้วยังไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพดานภาษีและมาตรการกีดกันอื่นๆที่ไม่ใช่ภาษี ก็ยังจัดการกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไม่ต้องนับการที่ไปสู่การผลิตสินค้าร่วมกัน เพราะต่างคนต่างก็อยากผลิต แถมยังแข่งกันอีกต่างหาก
จะเห็นได้ว่า ภูมิภาคอาเซียน ยังเป็นการรวมตัวของประเทศสมาชิกที่ดูแล้วยังมีคำว่า “หวาดระแวง” และ “การแข่งขัน” ซึ่งกันและกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะถูกแทรกแซงกิจการภายในของประเทศตน เพราะทุกประเทศล้วนมีปัญหาคาราคาซังที่ไม่อยากให้ใครมายุ่ง จึงทำให้การร่วมมือร่วมใจกันของประเทศอาเซียนในลักษณะ “ไปกันทั้งก้อน” เกิดขึ้นอย่างค่อนข้างจำกัด และมักกลายสภาพเป็นความร่วมมือกันในลักษณะทวิภาคีคือระหว่างสองประเทศ หรืออย่างเก่งก็เป็นพหุภาคีของสามประเทศ มากกว่าจะเป็นภาพรวมของสิบประเทศ
บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะแต่ละประเทศก็มีพี่ใหญ่ที่คอยหนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะจีนกับสหรัฐ ที่เป็นคู่แข่งกัน ประเทศอาเซียนจะทำอะไรจึงต้องห่วงผลประโยชน์และความรู้สึกของพี่ใหญ่ของตนอยู่เสมอ แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นคำกล่าวที่พิสูจน์ได้ยากด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ก็อาจจะมีมูลบ้างไม่มากก็น้อย
คำถามสำคัญคือ แล้วเมื่อสหรัฐฯเดินเกมการเมืองโลกแบบใหม่อย่างในปัจจุบัน รวมถึงสงครามการค้า อาเซียนเราจะเป็นอย่างไร?
หากวิเคราะห์จากข้อจำกัดของอาเซียนที่กล่าวมาข้างต้น ก็คงจะพอตอบได้ว่า อาเซียนก็จะเป็น “เหมือนเดิม” คือ ไม่ได้มีปากมีเสียงอะไรในลักษณะของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพราะการรวมตัวที่เหมือนจะแนบแน่นแต่หลวมโครกเช่นนี้ ภาพที่หากสหรัฐเปิดฉากสงครามการค้ากับประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่น ไทย แล้วอาเซียนจะร่วมกันอยู่ข้างไทย ร่วมกันต่อสู้กับไทย ไม่น่าจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นง่ายๆ ไม่น่ามีใครยอมเจ็บตัวเพื่อเพื่อนสมาชิก ในทางกลับกัน อาจกลายเป็น “โอกาส” ของประเทศอาเซียนอื่นๆ ที่พร้อมจะคว้าไว้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ท่ามกลางสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น จริงๆแล้วนี่ก็อาจเป็นหนึ่งเวทีที่อาเซียนจะจับมือกันให้แน่น เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ภายในภูมิภาคให้แข็งแกร่งและแน่นแฟ้น ถ้าทำได้การปลดแอกจากมหาอำนาจอาจมีความหวัง รวมไปถึงการจะเป็นความร่วมมือที่แข็งแกร่งจริงๆทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ
แต่คงจะต้องอาศัยความกล้าอย่างมาก โดยเฉพาะผู้นำ เพราะเป็นสถานการณ์ที่เหมือนชวนเพื่อนโดดเรียน แบบที่ไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะเอาด้วยไหม เกิดพูดแล้วเพื่อนไม่ตาม ก็จะโดนครูลากไปหวดหน้าเสาธง..คนเดียว อาเซียนและผู้นำก็คงจะถือคติ “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ตามระเบียบ
พูดไปแล้วก็เสียดาย ทั้งที่อาเซียนมีของดี ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งตลาด และการผลิต ที่สามารถดันไปเป็นความมั่งคั่งของภูมิภาคได้ร่วมมือกันได้เหนียวแน่นกว่านี้ ได้แต่หวังว่า เราจะเปลี่ยนแปลงได้
และก็หวังว่า ไทยจะคว้าบทบาทผู้นำนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เอวัง