ต้องยอมรับว่า ระดับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเคลื่อนไหวคราใด  จะต้องสร้างความฮือฮา และชิงพื้นที่สื่อไปแทบทุกครั้ง

               และโดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มี.ค.68 ที่ผ่านมา เมื่อทักษิณ เดินสายพบพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงที่จ.พิษณุโลก ไม่เพียงแต่จะส่งสัญญาณว่าจากนี้ไปการเดินสายจะมีขึ้นต่อเนื่องไปตามภูมิภาคต่างๆ แล้ว ปรากฎว่าเจ้าตัวยังโชว์ไอเดียด้านการบริหาร ไปจนถึงการ “ขันน็อต” ลามไปถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างจงใจ

               เมื่อเจ้าตัวหลุดประโยค พาดพิงไปถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” ให้ช่วยกันเร่งทำงาน เร่งใช้งบประมาณให้ทัน ทุกวันนี้ต้องใช้วิธีทั้งบีบและนวดกันเลยทีเดียว ในระหว่างที่พูดคุยคนเสื้อแดงจำนวนมาก ที่หอประชุมอนุสรณ์ 100 ปี มหาวิทยาลัยพิษณุโลก

               “ ตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่เป็นพรรคไทยรักไทย เพราะพรรคมีขนาดเล็กลง มีรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงน้อยลง บางทีรัฐมนตรีกระทรวงข้างเคียงทำงานด้วยกันไม่คล่องตัว พยายามทั้งนวด ทั้งบีบให้ช่วยกัน 

               ทำงานเถอะพ่อมหาจำเริญ ช่วยกันหน่อยเถอะ ถ้าพ่อมหาจำเริญไม่ทำ ตัวใครตัวมันนะครับ วันนี้ถือว่าบ้านเมืองคือหัวใจที่เราจะต้องทำให้ผ่านไปให้ได้” (17 มี.ค.68)

               โดยทักษิณ ยังอธิบายต่อว่าวันนี้ยังมีเงินงบประมาณอยู่ในกระทรวงต่างๆอีกมาก ดังนั้นจึงอยากให้แต่ละกระทรวงเร่งใช้จ่ายเงินเพื่อให้ทันต่อการเร่งพัฒนา ให้เงินถึงมือประชาชนโดยเร็ว

               เมื่อทักษิณ ขยับด้วยการส่งสัญญาณว่าด้วยการบริหารงานของกระทรวงต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในรัฐบาล ปรากฏว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต่างประสานเสียงด้วยความมั่นใจว่า ทักษิณ คงไม่ได้หมายความถึงกระทรวงในมือของตนเอง เพราะทุกวันนี้ต่างทำงานหนักกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย ,กระทรวงพัฒนาสังคมฯ หรือกระทรวงอุตสาหกรรม

               บทบาทที่ทักษิณ กำลังแสดงครั้งล่าสุดนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายประเมินเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อ “แพทองธาร  ชินวัตร” นายกฯ ไม่สามารถแบกรับแรงเสียดทานรอบด้านได้ โดยเฉพาะในเวลานี้ เมื่อศึกซักฟอกกำลังไล่หลังมาติดๆ ขณะที่ปัญหาที่นายกฯจะต้องผลักดัน แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเจ้าตัวก็รู้ดีว่า ใครจะฟังและทำตาม เมื่อการได้มาซึ่งตำแหน่งผู้นำรัฐบาล นั้นที่มาจาก “ดีลลับ” ต่อเนื่องนับจากวันที่ทักษิณ ได้รับโอกาสกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 เป็นต้นมา

               เมื่อในความเป็นจริง ไม่มีใครรับฟัง นายกฯแพทองธาร “พ่อ”จึงต้องออกโรง มาออกแรงด้วยตัวเอง แม้จะเป็นการพูดนอกครม. แต่ดูเหมือนเสียงจะดัง และฟังชัดมากกว่า !?