เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phogphit
สังคมไทยผู้ชายเป็นใหญ่กดขี่เพศหญิง ภาษาภาษิตไทยที่บูลลี่กันก็สะท้อนทัศนคตินี้ อย่าง "หน้าตัวเมีย" "ลูกผู้ชาย" “เกาะชายกระโปง” หรือคำพังเพยว่า “ชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว” ผู้ชายมีเมียหลายคนได้ ผู้หญิงทำบ้างก็เป็นนาง “โมรา” ถูกด่าด้วยเพลงดังอีกต่างหาก พร้อมยกตัวเองว่า “ผู้ชายไม่เจ้าชู้เหมือนงูไม่มีพิษ”
สังคมไทยมีรากฐานจากค่านิยมปิตาธิปไตย (patriarchy) ซึ่งส่งผลต่อการให้บทบาทและสถานะทางสังคมที่แตกต่างกันระหว่างเพศชายและเพศหญิง ค่านิยมนี้ฝังรากลึกมาจากโครงสร้างสังคม วัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา ซึ่งมักจะให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้ชายในฐานะผู้นำ และผู้หญิงในฐานะผู้ตาม โดยเฉพาะในเรื่องของครอบครัว การทำงาน และอำนาจทางการเมือง
การกดขี่เพศหญิงในสังคมชายเป็นใหญ่ของไทยมาจากมาตรฐานสองด้าน ผู้ชายได้รับอนุญาตให้มีเสรีภาพในเรื่องเพศมากกว่าผู้หญิง “เป็นหญิงต้องรักนวลสงวนตัว” แต่ผู้ชายกลับไม่มีข้อจำกัดเดียวกัน เพราะเป็นผู้นำ ผู้หญิงเป็นผู้ตาม “ช้างเท้าหน้า ช้างเท้าหลัง”
ในอดีต ผู้หญิงไทยไม่ได้รับอนุญาตให้ศึกษาในระดับสูงเท่าผู้ชาย วัฒนธรรมที่กำหนดให้ผู้หญิงต้องเป็น "แม่บ้านที่ดี" เรียบร้อยเป็น “ผ้าพับไว้” ในขณะที่ผู้ชายสามารถทำงานนอกบ้านและมีอำนาจในการตัดสินใจ
แม้ว่าสังคมไทยจะยังคงมีแนวคิดชายเป็นใหญ่ แต่ปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในหลายด้าน เช่น การเมือง ธุรกิจ และการศึกษา อย่างไรก็ตาม ปัญหาการใช้ภาษาและค่านิยมที่กดขี่เพศหญิงยังคงมีอยู่ ซึ่งต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงผ่านการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้ในสังคม (พัฒนาจิตสำนึกนักการเมือง)
ความจริงวัฒนธรรมผู้ชายเป็นใหญ่เป็นวัฒนธรรมสากลของมนุษยชาติ ตั้งแต่กำเนิดมนุษย์ มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งตะวันตกตะวันออก และดูจะสุดโต่งในบางประเทศมุสลิม
วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วโลกตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แม้ว่าจะมีบางช่วงที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญ แต่โดยทั่วไปแล้ว สังคมมนุษย์มักให้ความสำคัญกับอำนาจของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
จุดกำเนิดของชายเป็นใหญ่เริ่มจากยุคแรกๆ ยุคหาของป่าล่าสัตว์ ผู้ชายมักเป็นนักล่า เพราะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า สามารถออกล่าสัตว์ขนาดใหญ่เพื่อหาอาหาร ผู้หญิงมักเป็นผู้เก็บพืชผลและเลี้ยงดูบุตร เนื่องจากภาระด้านการตั้งครรภ์และการให้นมลูก
แม้จะมีการแบ่งงานตามธรรมชาติ แต่สังคมในช่วงนี้ยังไม่ใช่ชายเป็นใหญ่อย่างชัดเจน เพราะบทบาทของผู้หญิงในฐานะผู้เก็บพืชและเตรียมอาหารก็มีความสำคัญเทียบเท่ากับผู้ชายไปล่าสัตว์
การเปลี่ยนผ่านจากยุคหาของป่าล่าสัตว์ไปสู่สังคมเกษตรกรรมเมื่อหมื่นปีก่อนเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้ชายเริ่มมีอำนาจเหนือผู้หญิงอย่างชัดเจน การทำเกษตรต้องใช้แรงงานหนัก และผู้ชายได้เปรียบด้านกำลังกาย ระบบกรรมสิทธิ์ที่ดินเกิดขึ้น และผู้ชายมักเป็นเจ้าของที่ดิน เมื่อทรัพยากรกลายเป็นปัจจัยหลักในการอยู่รอด อำนาจของผู้ชายจึงเพิ่มขึ้น
ในช่วงนี้ แนวคิดเกี่ยวกับผู้หญิงในฐานะ "ทรัพย์สิน" ของครอบครัวเริ่มเกิดขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมผู้หญิงผ่านระบบครอบครัวแบบพ่อเป็นใหญ่ ซึ่งส่งผ่านทรัพย์สินจากพ่อไปยังลูกชาย
ยุคกรีกโบราณ ในเอเธนส์ ผู้หญิงไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพ่อหรือสามี ยุคโรมัน แม้ว่าผู้หญิงโรมันจะมีเสรีภาพมากกว่าผู้หญิงกรีก แต่ก็ยังต้องอยู่ใต้การปกครองของผู้ชาย
อิทธิพลของศาสนาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างและรักษาวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ในศาสนาฮินดู ระบบชนชั้นวรรณะกำหนดให้ผู้หญิงมีสถานะต่ำกว่าผู้ชาย ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพ่อ สามีหรือลูกชาย
ศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม มีแนวคิดเกี่ยวกับผู้ชายในฐานะหัวหน้าครอบครัว และผู้หญิงต้องเชื่อฟังสามี ในคัมภีร์ที่ “สวนเอเดน” เอวาเป็นคนที่เชื่องู นำผลไม้ต้องห้ามไปให้อาดัม อันเป็นที่มาสาเหตุของ “บาปกำนิด” จุดเปลี่ยนที่ทำให้มนุษย์ “รู้ดีรู้ชั่ว” โทษเอวาว่าเป็นคนทำให้มนุษย์ถูกไล่ออกจากสวนสวรรค์
ยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ บทบาทของผู้หญิงถูกกำหนดโดยศาสนาคริสต์ ผู้หญิงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของบิดาหรือสามี ผู้หญิงที่ท้าทายขนบธรรมเนียม เช่น นักเวทหรือนักคิดอิสระ อาจถูกกล่าวหาว่าเป็น "แม่มด" และถูกลงโทษ แนวคิดเรื่อง "หญิงต้องรักนวลสงวนตัว" และ "ชายเป็นผู้นำครอบครัว" ถูกปลูกฝังในวัฒนธรรมยุโรป แม้ในยุคโรแมนติกจะมีการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่ค่านิยมชายเป็นใหญ่ก็ไม่ได้ลดลง
ในศตวรรษที่ 20 เมื่อโลกเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ผู้หญิงเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น แต่ก็ยังได้รับค่าจ้างต่ำกว่าผู้ชายและถูกกดขี่ทางเศรษฐกิจ ผู้หญิงสามารถเล่นกีฬาและแข่งขันได้ในบางประเภทแบบมีเงื่อนไข
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 การให้สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิง การเปลี่ยนแปลงในกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ผู้หญิงมากขึ้น บทบาทของผู้หญิงในสงครามโลกครั้งที่ 1 และที่ 2 ทำให้ผู้หญิงมีสถานะในสังคมมากขึ้น ผู้หญิงเริ่มเข้ามามีบทบาททางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไม่ใช่ผู้ตามอย่างเดียว แต่เป็นผู้นำด้วย
ปัจจุบันมีการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศในหลายพื้นที่ เช่น การเคลื่อนไหว #MeToo ต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ การเรียกร้องสิทธิในประเทศมุสลิม เช่น การประท้วงของผู้หญิงอิหร่าน
สังคมมุสลิมในประเทศต่างๆ มีความหลากหลาย เคร่งคัดมากน้อย บางประเทศมีโครงสร้างชายเป็นใหญ่ที่เข้มงวด เช่น ซาอุดีอาระเบีย อัฟกานิสถาน และอิหร่าน
ไม่ว่าเมืองไทยหรือที่ไหน มนุษย์ควรต้องปรับทัศนคติและมองว่า คนทุกคนไม่ว่าเพศใด ชาย หญิง หรือ LGBTQ+ ก็เป็น “คน” ที่มีศักดิ์ศรีเท่ากัน ควรได้รับการเคารพและสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน บ้านเมืองก็จะสงบสันติมากกว่านี้
ที่มีปัญหาความรุนแรงทุกระดับ ทุกรูปแบบวันนี้ก็เพราะการ “เบ่งกล้าม” “แยกเขี้ยว” ของสังคมอำนาจผู้ชายเป็นใหญ่ ใช้สัญชาตญาณดิบเหมือนสัตว์ป่าที่ต่อสู้แย่งกันเป็นใหญ่