เป็นไปตามความคาดหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับตีความ คุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเรื่องความชื่อสัตย์สุจริต เนื่องจากเป็นปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้น และเห็นว่าการพิจารณาบุคคลที่จะแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีเป็นอำนาจและหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

โดยศาลรัฐธรรมนุญวินิจฉัยว่า คำร้องดังกล่าวเป็นเพียงการขอให้อธิบายหรือแปลความหมายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญว่ามีความหมายขอบเขตเพียงใด อันมีลักษณะเป็นการหารือเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้ร้องเกิดขึ้นแล้ว

อีกทั้งกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่นตามคำร้องซึ่งไม่ใช่รัฐมนตรีก็เป็นอำนาจให้ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติเฉพาะข้าราชการการเมือง มิใช่การใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ

จึงมีมติเสียงข้างมาก (8 ต่อ 1 ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า บุคคลต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปดึคำร้องของ คณะรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย จะพบว่า เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) กรณีปัญหาเกี่ยวกับ หน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการเสนอชื่อบุคคลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 23/2567 ซึ่งการพิจารณาว่าบุคคลต้อง “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”

ที่น่าสนใจคำร้องยังระบุด้วยว่า และ “ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะ ยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิด ฐานหมิ่นประมาท” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) (5) และ (3) รวมทั้งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการ การเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 9 (5) กำหนดว่า ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่นนอกจาก ตำแหน่งรัฐมนตรีต้อง “ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี” ว่ามีขอบเขตหรือแนวทางการพิจารณาอย่างไร

อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัย  เนื่องจากไม่ใช่ที่ปรึกษาทางกฎหมาย จึงทำให้มีการคาดการณ์ว่า บุคคลที่มีปัญหาสุ่มเสี่ยง อาจจะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี หากจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในโอกาสต่อไป