เสือตัวที่ 6

ความไม่ชัดเจนในการกำหนดทิศทางการต่อสู้ของรัฐกับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐในพื้นที่ปลายด้ามขวาน ซึ่งเป็นกรอบแนวทางปฏิบัติที่สำคัญยิ่งในการชี้ทางให้หน่วยงานที่มีมากมายหลากหลายของรัฐทุกระดับตั้งแต่สภาความมั่นคงแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ลงลึกไปจนถึงหน่วยเฉพาะกิจทั้งทหารและตำรวจในพื้นที่ชายแดนใต้ตลอดจนหน่วยงานปกครองลงไปจนถึงกำนันผู้ใหญ่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ส่งผลให้หน่วยงานทั้งหลายเหล่านั้นมีความลังเลในการต่อสู้กับขบวนการเห็นต่างจากรัฐ หน่วยงานทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถขับเคลื่อนการต่อสู้กับขบวนการร้ายเหล่านั้นได้อย่างมีพลัง ขาดการบูรณาการร่วมกันในการต่อสู้ ในทางกลับกัน ขบวนการร้ายแห่งนี้จึงมีโอกาสในการเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ด้วยมีเสรีในการปฏิบัติมากขึ้นท่ามกลางความชะงักงันของหน่วยงานของรัฐด้วยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนของรัฐในการกำหนดเป้าหมายและกรอบแนวปฏิบัติที่มากพอที่จะนำไปใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ความไม่ลงตัวในการระบุตัวบุคคลที่จะเป็นคณะพูดคุยสันติสุขของรัฐซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการเป็นตัวแทนรัฐที่จะเข้าไปพูดคุยแสวงหาทางออกของปัญหาความขัดแย้งของแกนนำขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐที่มีกลุ่มบีอาร์เอนเป็นตัวแสดงนำ ที่แม้ห้วงเวลานี้ จะมีกระแสข่าวออกมาว่าจะเป็นอดีตนายทหารผู้มีชื่อเสียงเวทีอาเจะห์ที่แยกตัวเป็นเอกราชจากอินโดนีเซียเมื่อปี 2005 ทำให้อดีตนายทหารท่านนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับอินโดนีเซีย และเชื่อว่าการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ปลายด้ามขวานของไทยนั้น ต้องดึงเอาอินโดนีเซียเข้ามาร่วมด้วย แนวคิดและความเชื่อของอดีตนายทหารดังกล่าวนี้ จึงถูกนำเสนอและส่งผลให้อดีตนายกฯ เกิดความคิดที่จะเดินทางไปพูดคุยเพื่อแสวงหาความร่วมมือในการแก้ปัญหาไฟใต้กับผู้นำอินโดนีเซีย หากแต่แนวคิดนั้นยังไม่ตกผลึกเป็นแนวทางเดียวกันเพราะมีกลุ่มความเชื่ออื่นที่เชื่อว่าปัญหาไฟใต้ต้องเริ่มต้นที่การพูดคุยกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นซึ่งอยู่ในพื้นที่มาเลเซีย ซึ่งนั่น การพูดคุยสันติสุขจึงควรมุ่งเป้าไปที่การแสวงหาความร่วมมือกับผู้นำมาเลเซียก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อกดดันให้แกนนำบีอาร์เอ็นยอมจำนนต่อรัฐไทยซึ่งจะส่งผลต่อสันติภาพในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญมากกว่า

ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจนในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ปลายด้ามขวานของรัฐที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือมีแนวคิดแปลกใหม่ที่ว่า กระบวนการตั้งคณะพูดคุยสันติสุขของรัฐบาลครั้งนี้จะเป็นแนวใหม่ กล่าวคือรัฐบาลจะไม่เร่งประกาศแต่งตั้งคณะพูดคุยสันติสุขอย่างเป็นทางการ แต่จะใช้การทดสอบและสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกันโดยผ่านการทำโครงการรอมฎอนสู่สันติสุขที่มีการส่งสัญญาณไปยังกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ตลอดจนรัฐบาลมาเลเซีย และรัฐบาลอินโดนีเซีย เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศความสงบในห้วงเดือนรอมฎอน ทั้งยังเป็นการทดสอบฝีมือการทำงานและแนวทางแก้ปัญหาไฟใต้ไปก่อนจนกว่าจะเห็นว่าเป็นของจริงจึงค่อยแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ โดยมีตัวชี้วัดคือหากโครงการรอมฎอนสันติสุขสำเร็จไปด้วยดี จะเป็นจุดเริ่มต้นในการตั้งคณะพูดคุยสันติสุขของรัฐบาลโดยมี พล.อ.นิพัทธ์ เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ อย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งนั่นเป็นแนวคิดที่กำลังส่งสัญญาณอันตรายต่อเอกราชอธิปไตยตลอดจนบูรณภาพแห่งอาณาเขตของรัฐ เพราะเรื่องความขัดแย้งในพื้นที่ปลายด้ามขวาน มีความล่อแหลมต่อความมั่นคงของชาติซึ่งไม่อาจใช้ลองผิดลองถูกได้ หากรัฐบาลจะแต่งตั้งใครให้เป็นหัวหน้าทีมงานในการต่อสู้เรื่องที่มีความสำคัญยิ่งของชาติ จะต้องมีข้อมูลมากพอที่จะมั่นใจได้ว่าได้เลือกคนที่ใช่ คนที่เป็นของจริงในการเข้ามาทำภารกิจสำคัญยิ่งของชาติ เพราะหากได้คนที่รู้ไม่จริง ไม่ทันสมัย ไม่เท่าทันตัวแทนบีอาร์เอ็นแล้ว ก็หมิ่นเหม่ที่จะเพลี่ยงพล้ำในการเจรจาต่อรองกับแกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐอันจะนำมาซึ่งการสูญเสียแผ่นดินในสมรภูมิแห่งนี้ไปได้

ประเด็นสำคัญอันเป็นปัญหาที่ส่งผลให้หน่วยระดับปฏิบัติทั้งในระดับพื้นที่จนกระทั่งถึงท้องถิ่นของรัฐนั้นก็คือความไม่ชัดเจนของรัฐอันเป็นการส่งสัญญาณอันตรายต่อความหมิ่นเหม่ในการสูญเสียบูรณภาพแห่งอาณาเขตของรัฐนอกเหนือจากความไม่ชัดเจนในการแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้แล้ว ก็คือความไม่ชัดเจนในการกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ปลายด้ามขวานทั้งที่นายภูมิธรรม สั่งทบทวนยุทธศาสตร์ ตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ม.ค.68 ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ตกผลึก ทั้งที่ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาไฟใต้นั้น มีความสำคัญยิ่งในการแปลงยุทธศาสตร์และนโยบายไปสู่การปฏิบัติอันเป็นแก่นสารสำคัญในการขับเคลื่อนการต่อสู้กับขบวนการบีอาร์เอ็นได้อย่างทรงพลัง การมีแนวคิดปัดฝุ่นนโยบาย 66/23 ที่เคยใช้ต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์นำสันติสุขมาสู่ประเทศมาแล้วเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว มาปรับใช้ จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนเชิงรูปธรรม

ยุทธศาสตร์การดับไฟใต้จะต้องสอดรับกับสภาพการณ์การเคลื่อนตัวไปของการต่อสู้ ขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐได้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การต่อสู้ที่วันนี้มีกลุ่มบีอาร์เอ็นที่มีศักยภาพสูงสุดในบรรดากลุ่มความเห็นต่างจากรัฐกลุ่มอื่น ณ วันนี้กลุ่มคนในขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีกองกำลังติดอาวุธระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับคอมมานโดและกลุ่มรบพิเศษที่ศักยภาพชั้นสูงที่พร้อมจะปฏิบัติการก่อเหตุร้ายได้ทุกรูปแบบโดยมีแกนนำระดับสั่งการที่ฝังตัวอยู่ในมาเลเซีย ซึ่งหากยุทธศาสตร์การต่อสู้ไม่ชัด ก็จะไม่สามารถทำให้หน่วยระดับล่างลงไปปฏิบัติงานเพื่อเอาชนะขบวนการบีอาร์เอ็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อตั้งคนที่ไม่รู้จักบีอาร์เอ็นอย่างแท้จริง รู้ไม่เท่าทันวิธีคิดของบีอาร์เอ็นในยุคนี้ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณอันตรายให้รัฐอาจสูญเสียอธิปไตยในสมรภูมิปลายด้ามขวานอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น