สถาพร ศรีสัจจัง
กล่าวโดยสรุป กวีนิพนธ์ขนาดยาวรวม 5 เรื่อง ของ “กวีการเมือง” ในหนังสือ “รวมบทกวี และ บทวิจารณ์ศิลปวรรณคดีของกวีการเมือง” ฉบับจัดพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกโดย “แนวร่วมนักศึกษาเชียงใหม่” เมื่อปีพ.ศ.2517 ซึ่งได้แก่ 1) “โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานคร” 2) “วิญญาณสยาม” 3) “คาวกลางคืน” 4) “เนื้อ นม ไข่” และ 5) “คำเตือนจากเพื่อนเก่า” นั้น นอกจากจะมีเนื้อหาหลักอยู่ที่การเปิดโปง ประณาม และวิพากษ์พฤติกรรมของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยตรงแล้ว
ยังมีส่วนของเนื้อหาที่สำคัญยิ่งอีกอย่างน้อย 2-3 ประเด็นที่ควรกล่าวถึง
สองสามประเด็นดังกล่าว “กวีการเมือง” หรือ “จิตร ภูมิศักดิ์” แสดงให้เห็นอย่างขัดเจนว่าเป็นผลมาจากระบอบการปกครองของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยตรงเช่นกัน
ในสองสามประเด็นดังกล่าว บทกวีของ “กวีการเมือง” ชี้ประเด็นให้เห็นว่านอกจากจะเกิดจากความเป็นเผด็จการของผู้นำคือจอมพลสฤษดิ์แล้ว ยังเป็นผลมาจากการเปิดประเทศแบบ “โล่งโจ้ง” ต้อนรับ “จักรพรรดินิยมอเมริกา” ในฐานะ “มหามิตร” ให้เข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อทำสงครามเวียดนามอย่างเต็มรูป
รวมถึงการแสดงตัวเป็น “เมืองพึ่ง” (หรือเป็น “ลูกน้อง” นั่นแหละ!) อย่างชัดแจ้ง โดยการเชื้อเชิญ “ผู้เชี่ยวชาญ” จากประเทศนั้นให้เข้ามามีบทบาทโดยตรง ในฐานะ “ที่ปรึกษา” หลายๆด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และโดยเฉพาะ “การต่อต้านคอมมิวนิสต์”!
ที่เป็นรูปธรรมยิ่งคือการเกิดขึ้นของสิ่งที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ระยะที่ 1” ที่ต้องการ “พัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย” (แบบสหรัฐอเมริกา)โดยเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2504(แผนนี้ยังไม่มีคำว่า “สังคม”)
เนื้อหาสองสามประเด็นที่ว่า อาจแยกเป็นหัวข้อรูปธรรมย่อยๆได้สักอีก 2-3 หัวข้อ
ได้แก่ ประเด็นการทำให้สังคมไทยเกิดความฟอนเฟะทางวัฒนธรรม ศีลธรรม-จริยธรรมตกต่ำ วัฒนธรรมที่ดีงามแต่เดิมถูกทำลาย วัฒนธรรมแบบตะวันตกมีอิทธิพลครอบคลุมสังคมไทย/ทหารหาญของชาติถูกทำลายเกียรติศักดิ์ศรี(เพราะต้องกลายเป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการ) และ สุดท้ายคือการเกิดสื่อมวลชน(หนังสือพิมพ์)ที่ไร้ศักดิ์ศรี เห็นแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของมวลชน
ประเด็น “ความเป็นเผด็จการของผู้นำ” (คือจอมพลสฤษดิ์) และ “ทหารหาญของชาติถูกทำลายเกียรติศักดิ์ศรี” นั้น มีเนื้อหาปรากฏชัดอยู่ใน 3 เรื่องหลัก คือ “โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพฯ” “วิญญาณสยาม” และ “คำเตือนจากเพื่อนเก่า”
ประเด็น “ความฟอนเฟะทางวัฒนธรรม” ปรากฏชัดใน 2 เรื่องหลัก คือ “คาวกลางคืน” และ “เนื้อ นม ไข่”
ส่วนประเด็น “เกิดสื่อมวลชนเลวรับใช้เผด็จการ” (ยุคนั้นคือหนังสือพิมพ์) มีเนื้อหาชัดเจนอยู่ในเรื่อง “คำเตือนจากเพื่อนเก่า”
ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่าง “บทกวี” ที่โดดเด่นเป็นรูปธรรมของ “กวีการเมือง” ในประเด็นต่างๆที่ว่า เรียงๆกันไปตามความเหมาะควร เท่าที่พอจะมีพื้นที่ให้จัดแสดงกันสักหน่อย
เอาประเด็น “ผู้นำเผด็จการ” และ “เกียรติศักดิ์ศรีทหารไทย” ก่อน เช่น
“…หลายปีดีดัก/ในปลักเผด็จการ/มวลชนจนอาน/นับล้านครอบครัว/ไร้ที่ทำกิน/ไร้ดินของตัว/ไร้ที่ซุกหัว/อา…ดังยุคหิน!”
และ “…โกรธเอยโกรธง่าน/เผด็จการบ้าเลือดเดือดฉี่ฉี่/เหวยเหวยสันติบาลจัดการที/ไอ้พวกนี้คอมมิวนิสต์คิดล้างไทย…”
และ “…กรุงสยามยุคคลั่งเพ้อ พัฒนา นี้ฤา/ทวยราษฎร์ปราศเงินตรา ติดบ้าน/ทรราช เมื่อชีวา วายวอด สิเออ/มรดกสามพันล้าน หลากล้นพิศวง…”
หรือที่กล่าวถึง “ทหารหาญของชาติ” (ชั้นผู้น้อย) เช่น
“(กลอนเพลงฉ่อย)…โอ้ว่าแสนสงสาร/เพื่อนทหารของชาติ/ไม่ได้เห็นเลยสักบาท/อนิจจา/รักษาการหาญฮึก/รักษาศึกทรหด/ต้องเหนื่อยอ่อนนอนอด/อกอา/ยังถูกเสือกถูกไส/เป็นคนใช้อีหนู/โอ้นี่กูหนอกู/ทหารกล้า/เกียรติทหารของชาติ/ถูกประมาทชอกช้ำ/ศักดิ์ศรีก็จะต้องต่ำ/เอ่ยช้า/โอ้รักษาเอกราช/ยอมเป็นทาสนางบำเรอ/มารักษาอีเป๋อ/ของป๋า…”
เฉพาะบท “เพลงฉ่อย” ที่ “กวีการเมือง” ต้องการเขียนให้เห็นถึงการถูกทำลายเกียรติของทหารไทยชั้นผู้น้อย(โดยเฉพาะพลทหารรับใช้)นั้นคงต้องอธิบายถึง “ฉากหลัง” ของเรื่องราวสักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจ(สำหรับผู้ไม่เคยรู้ประวัติจอมพลสฤษดิ์)
กล่าวคือ หลังจอมพลสฤษดิ์ตาย ถูกเปิดโปงว่ามี “อนุภรรยา” เป็นจำนวนมาก และอนุภรรยาเหล่านั้นนอกจากจะได้รับ “สิทธิประโยชน์” จากการเป็น “อนุ” (หรือเมียเก็บ)เป็นเงินรับขวัญ รถเก๋ง และเงินประจำเดือนแล้ว ยังได้รับการจัดสรรให้มี “ทหารรับใช้” ประจำตัวด้วย!ทหารไทยที่เคยเรืองเกียรติในการรักษาชาติมาตลอดในยามนั้นในสายตาของ “กวีการเมือง” จึงกลายเป็น “…ทาสนางบำเรอ/มารักษาอีเป๋อ/ของป๋า…” ไปอย่างน่าเศร้า ด้วยฝีมือและอำนาจของผู้นำเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น!!!ฯ