ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง เขาได้ดำเนินการตัดงบประมาณของ The United States Agency for International Development (USAID) อย่างมหาศาลด้วยความช่วยเหลือของขุนพลคู่ใจที่ชื่อ อีลอน มัสก์ การตัดงบประมาณของ USAID ดังกล่าว เป็นการตัดงบประมาณที่มากถึงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จนนำมาซึ่งการถกเถียงไม่น้อยของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในสังคมการเมืองระหว่างประเทศ วันนี้เรามาเจาะลึกประเด็นนี้กันครับ

USAID คืออะไร? และมีความสำคัญอย่างไร?

USAID ก่อตั้งขึ้นเมื่อมี 1961 โดยประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคเนดี ซึ่งถ้าสังเกตกันให้ดีจะพบว่า การก่อตั้ง USAID เกิดขึ้นในช่วงของ “สงครามเย็น” ที่สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตแข่งขันกันอย่างหนัก ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และเทคโนโลยี

บทบาทของ USAID จึงไม่ต่างอะไรกับเครื่องมือหนึ่งของสหรัฐฯในการต่อกรกับการขยายอิทธิพลทางการเมืองของโซเวียตในขณะนั้น ซึ่งหนี่งในวิธีการที่จะได้มาซึ่งอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศ ก็คือการให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคม โดยเฉพาะต่อประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ที่ต่างก็ตกเป็น “เป้าหมาย” ของการขยายอิทธิพลของยักษ์ใหญ่ทั้งคู่

โครงการ USAID ของสหรัฐฯ จึงให้ความสำคัญไปกับการ “พัฒนา” ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ผ่านการให้เงินทุนและเงินกู้ การฝึกอบรมแรงงาน การสนับสนุนเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาการเกษตรและการผลิตอาหาร การช่วยพัฒนาและส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เช่น การช่วยพัฒนาสถาบันทางกฎหมาย และการส่งเสริมและผลักดันการคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็กในประเทศเป้าหมาย การช่วยเหลือด้านการบรรเทาภัยพิบัติ การพัฒนาและส่งเสริมสุขภาพและการรับมือโรคระบาด การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาศึกษา เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ เป็นต้น  

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า โครงการต่างๆที่ USAID ลงมือทำนับตั้งแต่สงครามเย็นจนปัจจุบัน ได้สอดแทรกเนื้อหาและคุณค่าของความเป็น “สหรัฐฯ” ลงไปในโครงการ ที่สร้างความรู้สึกดีและนิยมชมชอบต่อสหรัฐฯได้ไม่น้อย โดยเฉพาะผู้คนและประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ จนหลายคนมองว่า นี่คือส่วนหนึ่งของการ Americanization การขาย American Dream แก่คนทั่วโลก...ที่ได้ผลซะด้วย

กล่าวได้ว่า นี่คือ SOFT POWER หนึ่งของสหรัฐฯที่ปั้นมาตั้งแต่สงครามเย็น...หรือจะพูดให้ชัดไปกว่านั้น ก็ต้องบอกว่า ไอ้คำว่า “SOFT POWER” จริงๆแล้วก็เกิดขึ้นจากการศึกษาการทำงานและผลลัพธ์ของ USAID เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สร้าง impact ต่อทั้งด้านการเมืองรวมถึงวงการวิชาการอย่างมาก

แนวทางของ USAID นับได้ว่าเป็นวิธีการที่ชาญฉลาด และถูกนำมาดัดแปลงและประยุกต์ใช้โดยประเทศต่างๆทั่วโลกเรื่อยมา เปรียบประหนึ่งเป็น “โมเดล” หรือ “ตัวอย่าง” ที่ดีและประสบความสำเร็จในการปั้นแต่ง SOFT POWER ของประเทศอื่นๆ ซึ่งแนวทางในการให้ความช่วยเหลือและการพัฒนานั้น ก็ได้ถูกนำมาใช้โดยประเทศอย่างจีนด้วยเช่นกัน ที่เมื่อมีเงินมีอิทธิพลมากขึ้น ก็ทำโครงการที่คล้ายคลึงกันกับสหรัฐฯ เรียกว่าฉายหนังซ้ำ กันหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาในแอฟริกา รวมไปจนถึงการพัฒนาต่างๆผ่านนโยบาย Belt Road Initiative ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน

นี่คือความสำคัญของ USAID ที่เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในมรดกจากสงครามเย็นที่มีค่าของสหรัฐ

อย่างไรก็ดี วันนี้สหรัฐ โดย โดนัลด์ ทรัมป์ มองว่า USAID เป็นกิจกรรมที่สิ้นเปลือง และไม่ก่อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯอีกต่อไป โดยเฉพาะการนำเม็ดเงินไปช่วยเหลือประเทศต่างๆทั่วโลก โดยที่โดนัลด์ ทรัมป์มองเรื่องนี้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันอีกด้วย

ผลกระทบต่อโครงการพัฒนาต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และจะกระทบต่อผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ “สหรัฐจะสูญเสียอิทธิพล ในประเทศต่างๆทั่วโลกลงไปหรือไม่?” เพราะแน่นอนว่าประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ อาจไม่สามารถยืนได้และแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองหากปราศจากการช่วยเหลือ ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือการหากิ่งไม้อื่นเพื่อเกาะ และนั่นอาจเป็นโอกาสของกิ่งไม้ที่ชื่อว่า “จีน” หรือ “รัสเซีย” และอื่นๆ ที่สำคัญที่สุด...นี่อาจจะเป็นการสูญเสีย “SOFT POWER” ที่สำคัญชิ้นหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

ซึ่งหากสหรัฐฯไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ก็คงต้องหาทางออกอื่น หรือโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะคิดไว้แล้วก็ได้...ใครจะรู้

หรืออาจจะเป็นการแทนที่ SOFT POWER เหล่านี้ ด้วย HARD POWER ที่ดูท่าแล้ว...โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะถนัดกว่า...ก็เป็นได้

เอวัง