การดำรงอยู่ของ “รัฐบาลผสม” จะเดินมาถึงสุดทางแล้วหรือไม่ ? เมื่อ “2 พรรคใหญ่” เปิดฉากฟาดฟันกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งซึ่งหน้าและผ่าน “ตัวแสดงแทน” สุดแต่ว่า ฝั่งใดจะมี “กลไก” ชนิดไหนอยู่ในมือ

กระแสข่าวการปรับครม. สะพัดไปไกล ทั้งที่ “ฝ่ายค้าน” ยังไม่ทันได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ในรัฐบาล “แพทองธาร1” เท่ากับว่า “ข้อสอบ” ยังไม่ทันออก แต่กลับมีข่าวว่า “ใคร” จะอยู่ ใครจะไป และกระทรวงใด ที่อยู่ในมือของ “พรรคร่วมรัฐบาล” มีแววว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยน

น่าสนใจว่าการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล โดย พรรคฝ่ายค้าน รอบนี้ใช้มาตรา 151 จึงจะไม่มีการโหวตลงมติ เพราะเป็นการอภิปรายแบบทั่วไป ดังนั้น คะแนนโหวตจึงไม่มีผลมากกว่า “ความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลด้วยกันเองเป็น “หลักใหญ่”

24 ก.พ.68 มีความเคลื่อนไหว ตั้งแต่เช้าตรู่ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็น “พ่อ” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯคนที่ 31  มีนัดพูดคุย “นอกรอบ” กับ “เนวิน ชิดชอบ”  ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในฐานะ “ครูใหญ่” ของพรรคภูมิใจไทย ที่แม้จะกุมสส.เอาไว้ในมือ 71 เสียง กับอีก “138 สว.สีน้ำเงิน” กลับเป็นฝ่ายที่กำลัง “ถูกบีบ” อย่างหนัก โดยกำหนดนัดหมายที่ว่านั้นมีรายงานว่ามีขึ้นในช่วงเย็น ที่โรงแรมดังย่านซอยรางน้ำ

“สว.สีน้ำเงิน”  ตั้งโต๊ะแถลงข่าว “สู้กลับ” กรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หน่วยงานในกำกับดูแลของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ตั้งท่าเตรียมรับคดีฮั้วเลือกสว.ในปี2567 เอาไว้ตรวจสอบ  ซึ่งสว.สายน้ำเงิน คือฝ่ายสภาสูงที่มีพรรคสีน้ำเงินอยู่ข้างหลัง  โดยสว.กลุ่มนี้ประกาศเดินหน้า เอาคืน ทั้งดีเอสไอและไปถึง รมว.ยุติธรรม เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น “มิชอบด้วยกฎหมาย”

อย่างไรก็ดี เวลานี้ทิศทางลมการเมือง ดูไม่สงบนิ่ง เพราะ “2พรรคใหญ่” อันเป็นแกนหลักของรัฐบาลผสม เปิดศึก “เอาคืน” กันอย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้หากยังไม่มี “สัญญาณบวก” ปรากฏออกมา สิ่งที่ตามมาอาจเดินไปสู่ “จุดแตกหัก” หากการเจรจา “ต่อรอง” ไม่สามารถได้ข้อสรุป ที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

สถานการณ์ทางฝั่งพรรคภูมิใจไทย ที่มี71 สส. และ 138 สว.  จากที่เคยเป็นฝ่าย “ถือแต้มต่อ” จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุก หรือถูก “ไล่ต้อน” ให้ “จนกระดาน” จนถูกบีบออกจากครม. ผสมกับในจังหวะที่ พรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่าไม่ต้องพึ่งพา “เสียงข้างมาก”  อีกต่อไป