ทวี สุรฤทธิกุล

กระดานปาเป้าของการเมืองไทยมีเป้าเพียง 2 วง ที่ทุกคนพากันปาลูกดอกเข้าไป คือ “”อำนาจกับผลประโยชน์”

ผู้เล่นหลักก็มีเพียง 2 กลุ่ม ที่ใหญ่ที่สุดก็คือทหาร อีกกลุ่มหนึ่งนั้นก็คือนักเลือกตั้ง ซึ่งก็ต้องพึ่งทหารด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันการเมืองไทยยังคงอยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” หมายถึงกลไกในทางการเมืองทุกอย่างถูกควบคุมโดยอดีตนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตอนนี้กำลังจะเล่นบท “ตามใจทหาร” หลังจากที่เมื่อ 20 ปีก่อนเผลอเล่นคึกคะนอง ไปเหยียบตาปลาทหารเข้าจังเบอร์ จนต้องหนีกระเซอะกระเซิงไปหาซื้อแผ่นดินอื่นอยู่ สุดท้ายก็ต้องมาจูบท็อปบู๊ตเพื่อให้ได้กลับมาเมื่อหลังเลือกตั้ง 2566 นี้

เป็นไปได้ว่าทักษิณกำลัง “มุ่งเป้า” ไปที่การ “ฟื้นฟูอำนาจ” ของตนให้คืนมาอีกครั้ง(ก่อนตายหรือติดคุกตาย) โดยมีเป้าอีกวงหนึ่งเป็น “ผลประโยชน์” ซึ่งในยุคก่อนทักษิณจะเน้นที่การสร้างความมั่งคั่งให้ร่ำรวยกว่าทุกคน และเพิ่มพูนบารมีให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกสถาบัน แต่มาถึงยุคนี้และต่อไปนี้ ทักษิณอาจกำลังจะ “ถอนแค้น - ล้างแค้น” หรือทำลายทุกคนทุกสิ่งที่ทำให้เขาต้องมีชะตากรรมที่ต่ำทรามมาเกือบ 20 ปีนั้น

ทักษิณอาจจะรู้ว่าเขาจะยังมีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่นาน แม้ว่า “ชีวิตธรรมชาติ” ที่หมายถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เขาอาจจะใช้เงินซื้อและเสริมความยั่งยืน ยืดชีวิตออกไปได้ แต่ “ชีวิตสังคม” ของเขาน่าจะมีปัญหา เพราะกระบวนการต่าง ๆ ทางสังคม น่าจะ “กระหน่ำ” ให้เขาสิ้นท่าไปในสักวันหนึ่งเมื่อใดก็ได้

กระบวนการทางสังคมอย่างแรก คือ กระบวนการยุติธรรม ซึ่งพวกโลกสวยอย่างผู้เขียนยังคิดว่ามีอยู่ในสังคมไทย โดยอดีตนักโทษชายคนนี้ยังมีเรื่องที่ถูกร้องเรียนอีกหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องที่หนักมาก ๆ และเป็นที่สนใจมาก ๆ ของสังคมไทยก็คือเรื่อง “นักโทษป่วยทิพย์ชั้น 14” แต่เป็นเพราะคนที่จัดการเรื่องนี้คงจะยังเกรงใจหรือไม่ก็เกรงกลัว “มารหน้าเหลี่ยม” นี้อยู่ เรื่องจึงยังยักแย่ยักยัน ยังไม่ไปถึงไหน แต่เมื่อใดที่รัฐบาลนี้อ่อนแอ มีอันเป็นไป หรือกลุ่มอำนาจเดิมอย่างทหารเกิดหมั่นไส้ เรื่องนี้ก็น่าจะถูกดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อกำจัดอิทธิพลของชายคนนี้ให้สิ้นซาก เพื่อสร้าง “แพลทฟอร์ม” ใหม่ทางการเมือง ซึ่งอาจจะเป็นการปฏิรูปการเมืองในรอบสอง เพื่อ “ล้างบาป” ที่การปฏิรูปการเมืองในรอบแรก เมื่อ พ.ศ. 2560 นั้น ได้สร้างปีศาจตัวนี้ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือตามกฎหมายก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับ “ปีศาจสุดแสนเลว” ถ้าจะช้าที่สุดก็คงไม่เกินหลังเลือกตั้ง พ.ศ. 2570 (ถ้ามี) เพราะพรรคเพื่อไทยภายใต้การกำกับของปีศาจตัวนี้ คงจะได้เสียงน้อยลง ไม่เป็นข้างมาก และไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือไม่ได้เป็นรัฐบาล นั่นก็คือการลงโทษทางการเมือง ที่จะนำมาซึ่งการลดอิทธิพลและบทบาทของปีศาจตัวนี้ พร้อมกับการเร่งรัดเรื่องร้องเรียนและคดีความต่าง ๆ ขึ้นมา จนที่สุดก็กลับไปเข้าคุก หรือเผ่นหนีออกนอกประเทศอย่างที่เคยทำมานั้น

กระบวนการทางสังคมต่อมา คือ กระบวนการสังคมทัณฑ์ อันเกิดจากเวรกรรมที่เขาทำกับประเทศไทยและคนไทย หลายคนเชื่อว่าอดีตนักโทษชายคนนี้กำลังเสื่อมบารมี ด้วยการพูดการกระทำของเขาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์หรือประทับใจผู้คนแต่อย่างใด นโยบายของรัฐบาลที่มีลูกสาวคอยรับคำสั่งอยู่นั้น ก็ทำอะไร ๆได้แบบขยักขย่อน ไม่เป็นอย่างที่หาเสียงไว้ อย่างเช่นเรื่องการแจกเงินคนละหมื่นทั่วประเทศนั้น แล้วยิ่งรัฐบาลนี้ที่จะทำนโยบายเลว ๆ อย่างเรื่องบ่อนการพนัน ซึ่งก็เกิดการต่อต้านไปทั่วประเทศ ในที่สุดก็คงไม่ทำ แต่ก็อาจจะมีนโยบาย “สารพัดเลว” ออกมาอีก ซึ่งก็จะยิ่งทำให้คนที่เกี่ยวข้องนี้ยิ่งเสื่อมลงไปอีก และประชาชนก็จะออกมาต่อต้านมากขึ้นเรื่อย จนถึงขั้นอาจจะมีม็อบหรือการแสดงออกเพื่อการต่อต้านที่รุนแรง ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า “สังคมทัณฑ์” หรือการลงโทษโดยผู้คนในสังคมนั่นเอง

กระบวนการสุดท้าย(แต่คงจะไม่ใช่ท้ายที่สุด) คือ กระบวนการ “สังคมเทียม” ที่ทักษิณสร้างขึ้น กำลังอยู่ในภาวะใกล้จะสิ้นสลาย “สังคมเทียม” เหล่านี้ก็ได้แก่ “พรรคการเมืองเทียม” ที่ทักษิณสร้างขึ้นตั้งแต่ที่เป็นพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน  หรือ “สัมพันธภาพเทียม” ที่ทักษิณใช้กับผู้ทรงอำนาจทั้งหลายของการเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นทหาร นักธุรกิจ หรือ ชนชั้นสูง และ “บารมีเทียม” ที่ทักษิณคิดว่าเขาสามารถเกาะกุมหัวใจคนรากหญ้าไว้ได้ รวมถึงที่หลอกลวงว่าเขามีอิทธิพลเหนือชนชั้นนำต่าง ๆ เหล่านั้น

ในเวลาต่อไปความเทียมเหล่านี้ก็จะพังครืน อย่างเรื่องพรรคเพื่อไทย ที่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของนายทักษิณในการเกาะกุมอำนาจในรัฐสภาและรัฐบาล แต่พรรคนี้ก็กำลังอยู่ในภาวะเสื่อม ที่ไม่ได้มีอำนาจต่อรองอย่างแท้จริง ทั้งยังอาจจะหมดอำนาจไปหลังการเลือกตั้งคราวหน้า(ถ้ามี) เช่นเดียวกันกับสัมพันธภาพเทียม ที่ผู้มีอำนาจที่คบกับทักษิณก็คงจะรู้แล้วว่า ทักษิณนั้นขาดความจริงใจ ล่อหลอกเอาแต่ผลประโยชน์ อย่างที่กล้าละเมิด “ดีลลับ” และไม่รู้สำนึกในการที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งก็ยิ่งจะทำให้บุคคลคนนี้เสื่อมลงเรื่อย ๆ ที่สุดแม้แต่บารมีที่เคยมีในหมู่ประชาชน ซึ่งทุกวันนี้ก็กำลังเสื่อมลง ๆ อยู่แล้ว ก็จะหมดสิ้นไป และอาจจะตามมาด้วยการถูกประณาม หรือตราประทับไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นคนลวงโลก เช่นมีชื่อว่า “ผีบุญยุคมิลเลนเนียม” เป็นต้น

เราเริ่มต้นด้วยการพูดถึง “รัฐมุ่งเป้า” ที่หมายถึง การกระทำของผู้มีอำนาจ ในกรณีนี้ก็คือในประเทศไทย ที่มุ่งประสงค์จะเข้ามามีอำนาจรัฐ ตั้งแต่ยุคแรกโดยคณะราษฎรที่คิดจะลดบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ต่อมาทหารได้ปรับบทบาทมาทำหน้าที่ปกป้องและใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์มากขึ้น ทำให้อำนาจของทหารแข็งแกร่งขึ้นมา กระทั่งยังทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ทั้งพระมหากษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยนี้ตลอดมา จนเมื่อระบอบทักษิณได้เกิดขึ้นมาท้าทาย

บทความนี้มิได้มีเจตนาที่จะประณามบุคคลใดเป็นการเฉพาะ แต่เป็นการนำเสนอข้อคิดเกี่ยวกับพัฒนาการของการเมืองไทย เพื่อจะบอกว่าในพัฒนาการที่เคยเลว ก็น่าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แม้แต่คนที่เคยชั่วช้าสารพัด ถ้ากลับตัวกลับใจ สังคมไทยก็อาจจะให้อภัยได้ และยิ่งเราเป็นสังคมพุทธ การให้อภัยก็เป็นหลักในทางศาสนานั้นอยู่แล้ว ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงให้อภัยแก่องคุลีมาล “ผู้ฆ่านับนิ้วให้ครบพัน”

ถ้าใครบางคนจะเปลี่ยนจาก “เลวไม่มีชิ้นดี” มาเป็น “ดีขึ้นสักหนึ่งชิ้น” ก็คงจะได้รับการให้อภัยเช่นกัน