หลังจากที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดปฏิบัติการ “ตีแตก” ขย้ำ “พลังประชารัฐ” จนทัพแตก เป็นอันว่า “ศัตรู” อีกหนึ่ง ถูกจัดการลงไปเรียบร้อยแล้ว จากการเป็น “พรรคใหญ่” แต่บัดนี้ ไม่เพียง พลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค จะเหลือสส.ในมือแค่ 20 กว่าเสียงเท่านั้น ทว่าตลอดห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา “แกนนำพรรค” ยังต้องเรียกความเชื่อมั่น ย้ำว่า พรรคยังไม่แตก ด้วยกันหลายครั้งหลายคราว
กระแสข่าว “เลือดไหล” ออกจากพลังประชารัฐ และจ่อถูกดึงไปอยู่ฟาก “พรรคกล้าธรรม” ของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา กลายเป็นประเด็นที่กัดกร่อนพลังประชารัฐอย่างต่อเนื่อง
ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทักษิณ กลับยังไม่ได้หยุดนิ่ง อาจจะเป็นเพราะด้วย “ภารกิจ” ที่ได้มาพร้อมกับ “ดีลลับ” ยังไม่บรรลุ โดยเฉพาะการพา “น้องกลับบ้าน” เพราะจนถึง ณ เวลานี้ ยังไม่มีวี่แววว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้เป็นน้องสาวจะได้กลับประเทศไทยเมื่อใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “ลูกสาว” อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ ยังต้องรับมือกับสารพัดปัญหาและความขัดแย้งภายใน “รัฐบาลผสม” ทำให้ ทักษิณ ไม่อาจรามือ และต้องลงมาบัญชาการเกมด้วยตัวเอง
กรณีการรับมือกับท่าทีของพรรคภูมิใจไทย ที่ขวางการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาฯที่ผ่านมาต้องถูกดึงเกมออกไป จนนำไปสู่การส่งเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยอำนาจและหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ว่าจะสามารถพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
เมื่อพรรคเพื่อไทย เจอกับปฏิบัติการ “ขวาง” ของพรรคภูมิใจไทย ด้วยการวอล์กเอ้าท์ไม่อยู่ร่วมพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา ที่ผ่านมา ยังกลายเป็นว่า “สว.สีน้ำเงิน” ในสังกัดของพรรคภูมิใจไทย ตั้งป้อมไม่ยอมเทเสียง “67 สว.” เพื่อรับหลักการในวาระแรก หวุดหวิดจะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจจะต้องตกไปในวาระแรก
เมื่อเกมในสภาฯ สะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทย พ่ายอย่างที่เห็น ในห้วงเวลาเดียวกัน กลับปรากฎกระแสข่าวสะพัดถึง “ดีลลับ” เรื่องใหม่ นั่นคือ “ดีลลับบรูไน” ว่าด้วยความเป็นไปได้ที่ จะมีการพบปะหารือกันในจังหวะที่ทักษิณ ได้รับไฟเขียวเดินทางไปบรูไน ตามคำเชิญของ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกฯมาเลเซีย
โดยดีลลับบรูไน มีการพูดถึงวาระสำคัญคือการ “ดึง” เอา “พรรคประชาชน” เข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อ “เอาคืน” บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลที่คุมกันไม่ได้ พร้อมกันนี้ยังมีการพูดถึงการ “ต่อรอง” ว่าวาระการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ที่กำลังจะมีขึ้นในราวกลางเดือนมี.ค.นั้น จะต้องไม่มีชื่อ นายกฯแพทองธาร ติดอยู่ใน 10 รัฐมนตรี ที่ฝ่ายค้านจะซักฟอกกลางสภาฯ
ดีลลับบรูไน จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เพราะบางฝ่ายประเมินว่า “เป็นไปได้ยาก” ที่พรรคเพื่อไทย จะกล้าไปจับมือกับ “พรรคส้ม” เพราะหากยิ่งทำเช่นนั้น อาจไม่ใช่แค่ พรรคสีส้มเท่านั้นที่จะถูกต้อนให้สุดทาง แม้แต่ พรรคเพื่อไทย และทักษิณ เองก็อาจไม่ได้รับการยกเว้น !