ไฮไลท์ของการนัดรับประทานร่วมกันของ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” อาจไม่ได้อยู่ที่การกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่าจะใช้เวลากันถึง 5 วันตามที่ต้องการหรือไม่ หากแต่ “เป้าโจมตี” จากนี้กลับพุ่งไปที่ “คนนอกสภาฯ” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แทนหรือไม่
ยิ่งเมื่อ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ไม่ได้ไปร่วมดินเนอร์มือเปล่า แต่เจ้าตัวนำหลักฐานสำคัญใส่ซองปิดผนึกยื่นถึงมือ “ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ” อันเป็นหลักฐานที่เกี่ยวโยงกับการเข้ารักษาตัวของ ทักษิณ บนชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจ ที่ผ่านมา และประเด็นนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของ “คณะกรรมการป.ป.ช.”
เท่ากับว่า ในซองเอกสารปิดผนึก ฉบับนี้ ที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นำไปมอบให้ต่อผู้นำฝ่ายค้าน โดยมีสื่อมวลชนเป็นพยาน เมื่อวันที่ 7 ก.พ.68 ที่ผ่านมานั้น กำลังจะกลายเป็น “ประเด็นร้อน” ที่เขย่า ไปถึง “พรรคเพื่อไทย” และตัว “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะนายกฯอิ๊งค์ มีด้วยกันถึงสองสถานะ หนึ่งคือ “ผู้นำรัฐบาล” และ สองคือ “ลูกสาวทักษิณ” ดังนั้นไม่ว่าจะยิงหมัดเข้าตรงไหน ก็มีสะเทือน !
จากเดิมที่ศึกซักฟอก แทบไม่สามารถเขย่าฝ่ายรัฐบาลได้ ด้วยเหตุที่รัฐบาลกุมเสียงข้างมากในสภาฯ แต่เมื่อจับอาการ จากทักษิณที่ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ไปอวยพรวันเกิด “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานพรรคชาติพัฒนา เมื่อพูดถึง “อดีตนายตำรวจ” ยศ พล.ต.อ. ทักษิณ บอกเลยว่า “ในฐานะตำรวจเก่า รู้จักแต่ พล.ต.อ.ที่เป็นผู้ชาย พล.ต.อ.ผู้หญิง ผมไม่รู้จัก”
ความไม่พอใจ ของทักษิณ แม้จะเก็บงำก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะทุกคนรู้ดีว่า คนที่เข้าไปเยี่ยมเขา ที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจ คือพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และยังเป็นผู้ที่คณะกรรมการป.ป.ช.เชิญไปให้ถ้อยคำมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้คงไม่ต้องแปลกใจที่จะพบว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยที่เป็นรัฐมนตรี จึงต่างส่งเสียงฝ่ายค้านว่า การอภิปรายพาดพิงถึง “บุคคลภายนอก” นั้นมีความเสี่ยงทางกฎหมายตามมา ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รอบนี้จึงเท่ากับว่า พรรคเพื่อไทยเองอยู่ในความเสี่ยงมากกว่าใคร
เพราะนอกจากตัวนายกฯอิ๊ง จะถูกซักฟอกแล้ว ยังจะกลายเป็นการดึง “คนนอก” อย่าง “พ่อนายกฯ” เข้ามาถล่มกันกลางสภาฯ อีกด้วย !