ทวี สุรฤทธิกุล
ตราบที่พระมหากษัตริย์ยังเป็น “หลักบ้านหลักเมือง” คงจะยากที่จะแยกออกจากการเมืองได้ ยิ่งไปกว่านั้น “ผู้อยากมีอำนาจ” นั่นเองที่ไปขอพึ่งพิง
ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในครั้งที่ทำโครงงานวิจัยประวัติศาสตร์การเมืองไทยจากคำบอกเล่าให้กับสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อ พ.ศ. 2534 โดยเริ่มจาก “ภาพจำทางการเมืองไทย” ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พอสัมภาษณ์ไปได้สัก 3 - 4 ครั้ง ก็ต้องยุติเนื่องจากปัญหาสุขภาพของท่าน การสัมภาษณ์จึงดำเนินไปถึงแค่ช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นมามีอำนาจหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในการสัมภาษณ์เท่าที่ได้ ที่น่าสนใจเป็นที่สุดและน่าจะมีคุณค่าต่อการเมืองไทยมากที่สุดก็คือ “สถานภาพของพระมหากษัตริย์ไทย” ที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลา 15 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น โดยสรุปที่ได้จากคำบอกเล่าของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็คือ “สุดท้ายสังคมไทยหันหลังให้พระมหากษัตริย์ไม่ได้”
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าว่า หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรโดยเฉพาะผู้นำในฝ่ายพลเรือนเหมือนจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพระมหากษัตริย์ ครั้นนายปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ ที่เรียกกันทั่วไปว่า “สมุดปกเหลือง” ก็เกิดความระแวงสงสัยในหมู่ผู้นำฝ่ายทหาร ทำให้คณะราษฎรแตกออกเป็น 2 ฝ่าย กระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องประกาศสละราชสมบัติใน พ.ศ. 2477 กระนั้นความไม่ไว้ใจในคณะราษฎรก็ยังมีมากอยู่ในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ นอกเหนือจากที่พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจะยังต้องทรงศึกษาต่อไปให้สำเร็จแล้ว เรื่องของการถวายความปลอดภัยก็เป็นความกังวลของผู้ที่รักพระเจ้าอยู่หัวอยู่เสมอ จนเมื่อได้เสด็จกลับมาในครั้งสุดท้ายและเกิดกรณีสวรรคต เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2490 กระแสตื่นตระหนกของคนที่รักในหลวงก็ระเบิดขึ้น อันนำมาซึ่งการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 นั้น ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า นั่นคือจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ในหมู่คณะราษฎร
หลังรัฐประหารใหม่ ๆ ทหารให้นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผ่านไปได้ 4 เดือนทหารก็ “จี้” ให้นายควงลาออก จากนั้นก็ไปเชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในยุคนี้เองที่มีการฟื้นฟูอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคงแข็งแรง ส่วนหนึ่งก็คือกำหนดไว้อย่างเด่นชัดในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” แต่ที่จริงจังยิ่งขึ้นไปก็คือ ทหารนั่นเองที่เข้า “พิทักษ์ราชบัลลังก์” อย่างเต็มที่ทุกเหล่าทัพ การปรับสถานภาพเป็น “กองทัพและทหารในพระองค์” ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญในยุคนี้ และทำให้นายทหารอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เติบโตมาด้วยบทบาท “นายทหารผู้จงรัก” ในที่สุด ผู้สถาปนาคำขวัญของกองทัพไปทุกหน่วยงานทหารทั่วประเทศว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
อย่างที่ทราบกันว่า แม้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะเป็นนักการเมืองในฟากฝ่ายประชาธิปไตย แต่ในยามที่ทหารเข้าปกครอง ถ้าทหารนั้น “จงรักภักดี” ก็เหมือนท่านจะยอม ๆ ให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในยุคเผด็จการเต็มใบอย่างในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบอย่างในยุคของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมถึงทหารหลังการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ที่มาขอเข้าพบท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ภายหลังรัฐประหารครั้งนั้น แล้วก็ปรากฏว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ไม่เคย “ว่าร้าย” คณะทหารชุดนี้เลย
อย่างไรก็ตามก็คนจำนวนหนึ่งค่อนแคะท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ว่าเป็นพวก “คลั่งกษัตริย์” เพราะมีความเป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนกัน แต่ถ้าเรามองด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ดังที่ผู้เขียนนำเสนอมา เราอาจจะต้องมองให้กว้างออกไปว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านต้องการรักษา “หลักบ้านแกนเมือง” อย่างหนึ่ง ซึ่งสังคมไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพิง ในยามที่กลไกทางการเมืองอื่น ๆ ยังอ่อนแอ และที่แย่กว่านั้น “ชั่วช้า” โดยเฉพาะการโกงกินคอร์รัปชั่นและแสวงหาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เคยมีความหวังในพลังของนักศึกษาและปัญญาชนหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้ดีกว่ายุคทหารครองเมือง แต่เมื่อเห็นการใช้เสรีภาพจนเกินขอบเขต ท่านก็ตักเตือน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งเกิดการจลาจลและมีการรัฐประหารตามมาในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ท่านให้การสนับสนุนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อย่างเต็มที่ ในคราวที่มี “ข้อมูลใหม่” หรือทหารเปลี่ยนขั้ว ในพ.ศ. 2523 แต่พอพลเอกเปรมไป “เกาะขั้ว” มากเกินไป ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ตักเตือน ดีที่พลเอกเปรมรู้จักพอ และไม่ขอรับตำแหน่งจากนักการเมืองหลังการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2531 จึงไม่ได้มีอะไรบาดหมางต่อกัน
ใน พ.ศ.นี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็คงจะมีความห่วงใยในเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าได้ทราบถึงความสัมพันธ์ “ในลักษณะพิเศษ” ระหว่างทหารกับพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ภายหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็อาจจะไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น รวมถึงที่ได้เห็นรัฐบาลและรัฐสภาในยุคนี้ที่ยังคงถูกครอบงำด้วย “ทรราชย์” บางคน ท่านก็คงจะยิ่งห่วงใยบ้านเมืองมากขึ้นไปอีก รวมถึงห่วงใยในองค์พระมหากษัตริย์นั้นด้วย
ถ้ายึดตามแนวคิดของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถ้าจะทำให้ประเทศไทยอยู่รอดต่อไป ก็คงจะต้องเริ่มจาก “การปกป้องพระมหากษัตริย์” ให้พ้นจาก “พิษภัยทางการเมือง” นั่นก็คือ
หนึ่ง พ้นจากการ “แอบอ้าง” หรือ “แอบอิง” ของคนที่ “มีอำนาจ” และ “อยากมีอำนาจ”
สอง พ้นจากการสร้างภาระความรับผิดชอบให้พระองค์ท่านต้องลงมายุ่งเกี่ยวกับบ้านเมือง โดยเฉพาะความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ และความชั่วร้ายในระบอบรัฐสภาไทย
และสาม พ้นจากความแตกแยกร้าวฉานระหว่างคนไทยด้วยกัน อันเกิดจากการกระทำของผู้มีอำนาจในฝ่ายต่าง ๆ ที่แบ่งแยกประชาชนเป็นฝักเป็นฝ่าย
ที่ผ่านมา 93 ปี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ภายใต้แนวคิดที่จะแยกพระมหากษัตริย์ออกจากการเมือง (ความจริงคือพวกคณะราษฎรนั้นก็จะไม่อยากให้มีพระมหากษัตริย์อยู่ในระบบการเมือง) แต่ตลอดมานั้นแม้แต่ในพวกคณะราษฎรเองก็ต้องยอมสยบอยู่ภายใต้ “พระบรมเดชานุภาพ” และผู้นำทางการเมืองทุกยุคทุกสมัยก็ยังต้อง “พึ่งพระบารมี” มาโดยตลอด
การนำการเมืองออกจาก “อุ้งพระหัตถ์” จึงน่าจะเป็นแนวคิดที่จะต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต ไม่เพียงแต่จะเป็นการ “Save The King” แต่จะยังเป็นการ “Save The Thais” นี้ด้วย
“ปกป้องพระมหากษัตริย์ รักษารัฐ(ประเทศชาติ)และประชาชน(คนไทย)” !