ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคนไม่สามารถใช้ TikTok ได้อีกต่อไป สืบเนื่องจากคำสั่งของทางการสหรัฐฯ แน่นอนครับว่านำมาซึ่งการพูดถึงกันอย่างมากในโลกออนไลน์ ติ๊กต๊อกเกอร์จำนวนไม่น้อยออกมาบอกลาผู้ชมในช่องของตนเอง รวมถึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยแสดงความรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ในสหรัฐอเมริกา
การหายไปของ TikTok ในครั้งนี้นอกจากคนอเมริกันจะไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้แล้ว ยังส่งผลให้แอปพลิเคชันดังกล่าวหายไปจาก Apple Store และ Google Play Store พร้อมๆกับแอปพลิเคชันอย่าง Lemon8 และ CapCut ที่มีเจ้าของเดียวกันกับ TikTok ด้วยเช่นกัน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้คนจำนวนมากพูดถึงการหายไปของพื้นที่ในการนำเสนอผลงานออนไลน์ของตน รวมไปจนถึงพื้นที่โฆษณาและการค้าขายสินค้าของชาวอเมริกันจำนวนมาก จนกลายเป็นกระแส SAVE TikTok เกิดขึ้น แต่ท่ามกลางความรู้สึกเสียดายและไม่เห็นด้วยดังกล่าว ก็เหมือนจะมีบุรุษขี่ม้าขาวที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ขี่ม้ามาแต่ไกล พร้อมกล่าวอย่างให้ความหวังกับชาวอเมริกันผู้รักและได้ประโยชน์จาก TikTok โดยเขาบอกว่า “เขาจะดูเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง”
ในแง่มุมของโดนัลด์ ทรัมป์ นี่อาจเป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ทำให้เขาได้รับคะแนนนิยมทางการเมืองเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จากผลสำรวจพบว่า แม้ชาวอเมริกันจำนวนมากจะสนับสนุนการแบน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ชาวอเมริกันแล้ว เกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับการแบนในครั้งนี้
นอกจากนี้โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอีกหนึ่งบุคคลสาธารณะที่ได้รับประโยชน์จากการใช้แอปพลิเคชันนี้ โดยเฉพาะก่อนและระหว่างการเลือกตั้ง รวมไปจนถึงการแสดงออกทางการเมืองของเขาไปยังคนทั่วโลกผ่านแอปพลิเคชัน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การแบน TikTok ในครั้งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อฐานเสียงของเขาไม่มากก็น้อยด้วยเช่นกัน และการ “ทำอะไรสักอย่าง” ของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็อาจกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกที่ถูกเวลา และ “ได้คะแนน”
ในขณะที่การทำอะไรสักอย่างของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจนำไปสู่การขาย TikTok ให้แก่บริษัทของสหรัฐฯอย่างราบรื่นขึ้น ซึ่งไม่แน่หนึ่งในบริษัทเหล่านั้นอาจเป็นบริษัทของ Elon Musk หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นได้ ซึ่งแน่นอนว่า นี่อาจกลายเป็นประโยชน์เพิ่มเติมให้แก่ตัวเขาเองต่อไปได้อีกในอนาคต รวมถึงอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยเช่นกัน
เป็นที่น่าสังเกตครับ ว่าภายหลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อจีนนั้น มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจพอสมควร ดูๆไปแล้วดูจะมีการพูดคุยและความสัมพันธ์ที่ดี จนทำให้เกิดภาพความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างจีนกับสหรัฐ เรียกได้ว่า ดูๆไปแล้ว ไม่ค่อยจะเหมือนตอนหาเสียง ที่มีท่าทีค่อนข้างแข็งกร้าวสักเท่าไร
การปฏิบัติเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ครับ ยิ่งถ้าวิเคราะห์ถึงสไตล์ของโดนัลด์ ทรัมป์เอง ที่เน้นการได้ประโยชน์เชิงประจักษ์ของสหรัฐ เขาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ค่อนข้างมาก ซึ่งแน่นอนว่า หากผลลัพธ์ที่ว่านั้น จะทำให้สหรัฐฯได้ประโยชน์ เขายินดีจะทำทุกวิถีทาง รวมถึงแนวทางการจับมือแทนการก้าวร้าวด้วยเช่นกัน นี่คือความคาดเดาได้ยากของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ก็ไม่แน่...ว่าอาจส่งผลดีต่อบรรยากาศของการเมืองระหว่างประเทศได้ด้วยเช่นกัน
หากทรัมป์ โดดเข้ามาเป็นฮีโร่ในงานนี้ ก็อาจเกลี้ยกล่อมให้ TikTok ยอมขายทั้งหมด หรือบางส่วน ภายใต้คอนดิชั่นที่ดีขึ้นให้แก่บริษัทของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ประโยชน์ตกอยู่กับสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทนั้นเป็นบริษัทในคาถาของโดนัลด์ ทรัมป์ ข้อดีก็จะยิ่งตกอยู่กับเขานั่นเอง นี่ยังไม่นับรวมถึงการได้รับเสียงสนับสนุนและเสียงชื่นชมจากชาวอเมริกันรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองที่ฉลาดพอจะต้องรีบคว้าไว้ให้ได้ รวมๆแล้ว การช่วย TikTok ยืดเวลา หรือ “ทำอะไร” สักอย่างนั้น วิเคราะห์ได้ว่า “น่าทำ” และน่าจะได้เห็นภาพอะไรเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
เมื่อออนไลน์กลายเป็นโลกใบใหม่ที่คนในยุคนี้ทิ้งไม่ได้ มันไม่ได้เป็นแค่สิ่งอำนวยความสะดวกหรือความบันเทิงอีกต่อไป แต่มีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ขาดกับชีวิตในโลกความจริง ทั้งมิติสังคม การเมือง รวมถึงธุรกิจและปากท้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ โลกออนไลน์ จึงกลายเป็นผลประโยชน์ในโลกความจริง การเมืองที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีบทบาทในโลกใบนี้ พร้อมๆกับโลกแห่งความจริง
ดูกันต่อไปครับ
เอวัง