เสือตัวที่ 6

การที่รัฐชาติใดรัฐชาติหนึ่งจะยังคงดำรงคงอยู่อย่างมีเสถียรภาพมั่นคงเข้มแข็งและดำรงเกียรติยศตลอดจนศักดิ์ศรีของประเทศอยู่ได้ก็ต้องมีพลังอำนาจของชาติอันเข้มแข็งที่เหนือกว่าหรืออย่างน้อยก็ไม่ด้อยกว่ารัฐประเทศอื่น เพื่อให้รัฐประเทศนั้นจะยังคงรักษาผลประโยชน์ของชาติตนเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์ เพราะพลังอำนาจของชาติเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งในการบังคับให้รัฐอื่นต้องปฏิบัติตามเจตจำนงของรัฐชาติตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากรัฐชาติอื่นมีการกระทำที่ละเมิดตลอดจนแสดงท่าทีคุกคามต่อผลประโยชน์หรือเกียรติและศักดิ์ศรีของประเทศตนก็จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐประเทศนั้นจะต้องใช้พลังอำนาจของชาติในทุกมิติเพื่อบีบบังคับให้รัฐชาติที่กำลังคุกคามหรือละเมิดนั้นต้องปฏิบัติตามโดยเร็ว ด้วยพลังอำนาจแห่งชาติคือ ความสามารถของรัฐหนึ่ง ในอันที่จะก่อให้เกิดอิทธิพลแก่รัฐอื่น เพื่อคงรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีตลอดจนผลประโยชน์ของชาติไว้ได้ และพลังอำนาจของชาตินั้นมีองค์ประกอบสำคัญทั้งพลังอำนาจของชาติทางกรเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม และความเข้มแข็งของกองทัพที่จะเป็นเครื่องมือในการทำให้รัฐชาติอื่นให้ความยำเกรง ไม่กล้าท้าทายจนกระทั่งยอมปฏิบัติตามที่รัฐชาติที่มีความเข้มแข็งกว่านั้นต้องการ

ต่อกรณีการจับกุมกลุ่มเรือประมงไทยของกองเรือเมียนมาเมื่อ 30 พ.ย.67 ด้วยการกระทำที่คุกคามต่อชีวิตชาวประมง ย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดต่ออธิปไตยของไทย ทั้งต่อมาอีกเพียงไม่กี่วัน ก็ยังนำตัวชาวประมงทั้งหมดขึ้นศาลเมียนมาและตัดสินจำคุกเจ้าของเรือเป็นเวลา 6 ปี ลูกเรือไทยอีก 3 คน คนละ 4 ปี โดยถึงเวลานี้ การใช้การเจรจาพูดคุยทำความเข้าใจด้วยวิถีทางการทูตเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐไทยต่อเมียนมาเพื่อของตัวคนไทยกลับมาสู่ผืนดินไทยจนเวลาล่วงเลยมาเป็นเวลานานมากกว่า 1 เดือนแล้วก็ยังไม่บรรลุผล แม้รัฐไทยจะอ้างว่าไม่ต้องการใช้ความรุนแรงใดๆ และขณะนี้กำลังใช้การพูดคุยกับเมียนมาผ่านมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้ปล่อยตัวคนไทยทั้ง 4 คนดังกล่าว หากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(International Relation) ก็ต้องใช้พลังอำนาจของชาติที่เข้มแข็งในทุกมิติเพื่อให้มีอิทธิพลเหนือกว่าบีบบังคับให้เมียนมายอมอ่อนข้อมากกว่านี้ การเพิกเฉยละเลยต่อการร้องขอของรัฐไทยต่อการปล่อยตัวคนไทยย่อมบ่งบอกได้ว่าเมียนมาไม่ใยดีต่อรัฐไทยและไม่เคารพต่อกติกาสากลทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ระบบการเมืองระหว่างประเทศในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น แม้ประเทศเอกราชทั้งปวงต่างก็พยายามปฏิบัติการทุกวิถีทาง เพื่อที่จะรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติตนตามกติกาสากลเพราะประเทศเอกราชต่างก็ถือว่าประเทศตน ย่อมมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองและไม่อยู่ในอาณัติของผู้ใด หากแต่การคงอยู่ด้วยกันระหว่างรัฐไทยกับเมียนมานั้นต่างก็เป็นประเทศสมาชิกลุ่มอาเซียนและต่างก็พึ่งพาอาศัยระหว่างกันทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างแนบแน่น ดังนั้นปฏิกิริยาที่เมียนมามีต่อรัฐไทย จึงควรผสมผสานการรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีรวมทั้งผลประโยชน์ของชาติตนตลอดจนการรักษาอธิปไตยของประเทศกับการรักษามิตรภาพที่ดีกับรัฐไทยให้ดีกว่านี้ โดยการผ่อนปรนการดำเนินการต่อคนไทยที่ถูกจังกุมอยู่เป็นเวลานานทั้งที่ข้อหาการจับกุมในน่านน้ำทางทะเลที่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเขตแดนของฝ่ายใด แม้กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอดและจะดำเนินการต่อไปโดยพยายามผลักดันให้เมียนมามีการปล่อยตัวลูกเรือประมงของไทยทั้ง 4 คนโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน หากแต่เวลาที่ล่วงเลยมาเป็นเวลานาน ทางการเมียนมาก็ยังไม่ให้ความร่วมมือในการเรียกร้องของไทยผ่านวิถีทางทางการทูตแต่อย่างใด

ปรากฏการณ์การโจมตีด้วยอาวุธสงครามของเรือรบเมียนมาที่กระทำต่อเรือประมงไทยที่เป็นชาวบ้านมาทำมาหากินจับสัตว์ทะเลโดยไม่มีอาวุธโดยวิถีกระสุนของทหารเรือเมียนมาบ่งบอกชัดเจนว่าหมายเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์มือเปล่าอย่างโหดเหี้ยม จึงเป็นการส่งสัญญาณว่าเมียนมาไม่กริ่งเกรงต่อกติกาสากลแต่อย่างใด โดยเฉพาะการกระทำครั้งนี้เป็นการท้าทายรัฐไทยทั้งที่เป็นพันธมิตรข้างเคียงต่อกันอย่างอุกอาจ  ตอกย้ำที่เมียนมาเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการให้ปล่อยตัวคนไทยที่ถูกจับกุมมาเป็นเวลานานโดยไม่ใยดีแม้แต่น้อย ทั้งที่รัฐไทยและเมียนมาต่างมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีผู้ช่วยทูตทหารของทั้งสองฝ่ายประจำอยู่ในแต่ละประเทศ แต่กลับไม่สามารถประสานความเข้าใจให้ความร่วมมือในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีต่อกันเท่าที่ควรจะเป็น เห็นได้ชัดว่าในขณะที่ทางการเมียนมามีการปล่อยตัวนักโทษคนไทยจำนวน 152 คนในโอกาสวันชาติหรือวันเอกราชเมียนมาเมื่อ  4 ม.ค.68 ที่ผ่านมาแต่ยังคงจำคุกลูกเรือประมงของไทยทั้ง 4 คนไว้ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าทางการเมียนมากำลังท้าทายต่อประเด็นอันอ่อนไหวที่ทางการไทยนี้อย่างไร

ปรากฏการณ์เพิกเฉยต่อกรณีจับกุมและคุมขังชาวประมงไทยทั้ง 4 คน จึงเป็นการท้าทายรัฐไทยอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่าพลังอำนาจของชาติไทยอ่อนแอแค่ไหนในสายตาเมียนมา การที่จะรักษาผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติด้วยการมีอิทธิพลเหนือรัฐอื่นย่อมต้องใช้พลังอำนาจของชาติอันทรงพลัง ด้วยเหตุนี้เองทุกประเทศในโลกต่างก็มุ่งเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชาติของตนให้เข้มแข็งเหนือกว่าประเทศที่มีผลประโยชน์ของชาติขัดกันกับตน จึงจะสามารถบีบบังคับรัฐอื่นให้ทำตามประสงค์ของรัฐตนได้