ภายหลังจากที่เกิดบทเรียนขึ้นกับ เศรษฐา ทวีสิน  จนทำให้ต้องเสียเก้าอี้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ดูเหมือนว่า  แพทองธาร ชินวัตร นายกฯคนที่ 31 พยายามระมัดระวังตัวอย่างมาก  เนื่องจากไม่ต้องการซ้ำรอย พลาดพลั้งด้วย ข้อกฎหมาย จนมีอันต้องไปก่อน รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม


 รายชื่อที่ถูกส่งเข้ามา ทั้งจากพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่จาก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯผู้เป็นพ่อ ต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามี คุณสมบัติ ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือมีความสุ่มเสี่ยงหรือไม่


 ก่อนส่งท้ายปีเก่า 2567 ดูเหมือนว่า มีการส่งสัญญาณ ตั้งข้อสังเกตถึงการแต่งตั้ง เต้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช. เข้ามาทำหน้าที่ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นั้นถูกต้องหรือมีช่องโหว่หรือไม่ และต้องไม่ลืมว่า ในคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าว ก็เป็น นายกฯแพทองธาร ลงนามด้วยตัวเอง 


 ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ม.ค.68 ปรากฏว่า สนธิยา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือถึง อัยการสูงสุด  ขอให้ตรวจสอบพิจารณาส่งเรื่องต่อไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัย กรณีนายกฯแพทองธาร แต่งตั้งนายณัฐวุฒิ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 67 ที่ผ่านมา ที่อาจจะกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ 


  เนื่องจาก ณัฐวุฒิ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี ถูกจำคุก 2 ปี 8 เดือน กรณีบุกบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ สมัยที่ยังเป็น แกนนำนปช. รวมทั้งสนธิยา ยังระบุว่า ที่ปรึกษานายกฯผู้นี้ ยังเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มผู้กระทำความผิดกฎหมายในมาตรา 112 อีกด้วย 


 ทางด้าน ณัฐวุฒิ โพสต์ข้อความชี้แจงยืนยันว่า  เรื่องนี้ไม่มีประเด็น ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากที่ปรึกษาของนายกฯไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ ข้อห้าม ต่างกันคนละเรื่องกับตำแหน่ง รัฐมนตรี ที่เคยทำให้อดีตนายกฯเศรษฐา ต้องหลุดจากเก้าอี้ เพราะตั้ง พิชิต ชื่นบาน นั่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ 


  จะเอากรณีนายกฯเศรษฐาตั้งคุณพิชิตมาเทียบเคียงไม่ได้ ผมถูกตัดสิทธิเพราะติดคุกจากคดีต่อสู้ทางการเมือง แต่ยังใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้ เป็นผู้ช่วยหาเสียง เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ไม่ใช่เพราะขาดจริยธรรม แต่กฎหมายเขียนเป็นคุณสมบัติต้องห้ามไว้ เช่น นักบวชก็เป็นคุณสมบัติต้องห้ามดำรงตำแหน่ง  (14ม.ค.68) 


 อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าวจะออกมารูปใด ย่อมต้องอยู่ที่การวินิจฉัย ชี้ขาดจาก ศาลรัฐธรรมนูญ  ฐานะองค์อิสระตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงอาจกลายเป็นการเพิ่มความหวั่นไหว ความวิตกให้กับตัวนายกฯแพทองธาร เองในระหว่างนี้ แม้ที่ผ่านมา เธอเองจะพยายามระวังตัวมาแล้วก็ตาม และยังไม่นับคำร้องที่ยังค้างคาอยู่ที่กกต.และคณะกรรมการป.ป.ช. ที่กำลังไล่หลัง เตรีมนับหนึ่ง !